เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่หอประชุมวิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี จ.ปทุมธานี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกาาประชุมสัมมนาผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อขับเคลื่อนการอาชีวศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 และมอบนโยบาย "การอาชีวศึกษากับการพัฒนาประเทศ" และ คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) มอบนโยบาย เรื่อง "การขับเคลื่อนสถานศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรและประมง" โดยมี นายณรงค์ แผ้วพลสง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) พร้อมผู้บริหารระดับสูง สอศ. , ผู้บริหารสถานศึกษาของรัฐ และผู้รับใบอนุญาตสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา , นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัด ศธ. , นายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เข้าร่วมประชุม 1,300 คน
นายณัฏฐพล กล่าวว่า การประชุมผู้บริหารสถานศึกษาสังกัด สอศ.วันนี้ เพื่อทราบนโยบายการจัดอาชีวศึกษา ขณะนี้ รัฐบาลและกระทรวงศึกษาฯให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษามากที่สุด เหตุผลเพราะสามารถเชื่อมต่อกับงานหลายๆ ด้าน แต่ขณะนี้กำลังคนสายอาชีวะอยู่ในขั้นวิกฤติปริมาณยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด หากเราต้องการเป็นหนึ่งในเอเชีย เราจะต้องกล้าส่งเสริมด้านทักษาฝีมือของผู้เรียนสายอาชีวะให้มีความเข้มแข็งตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานประเทศได้ ดังนั้น ตนและ คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รมช.ศธ.พร้อมจะรับฟังปัญหาและพร้อมจะผลักดันให้อาชีวะของไทยเป็นอันดับต้นๆของเอเชียและของโลกได้ เพราะไทยมีองค์ประกอบพร้อมพัฒนา
"วันนี้ ผมให้ วิทยาลัยอาชีวะรัฐและเอกชน ไปคิดมาว่าตัวเองเก่งอะไรและจะเสนอพัฒนาสาขาอะไร เช่น วิทยาลัยนี้เก่ง ระบบขนส่งทางราง ก็เสนอมา และเมื่อทำแล้วต้องมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมายังทำได้ไม่เต็มที่ ช่วงนี้ก็จะรอดูว่าสถานศึกษามีความพร้อมเสนอมาว่าจะพัฒนาอะไรและมีกี่แห่ง รวมถึงจะผลักดันการสอนภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เพื่ออาชีพ ซึ่งอาจจะต้องจ้างครูต่างประเทศเข้ามาสอนถึง 5 พันคน ซึ่งก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แต่ขอให้คิดถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นที่ตั้ง ผมและคุณหญิงกัลยาพร้อมจะหารือกันเพื่อดูว่าจะหางบประมาณส่วนไหนช่วยสนับสนุน อาจจะต้องเสนอสภาเพื่อของบเพิ่ม เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถภาษาอังกฤษและภาษาจีน หากทำให้ผู้เรียนใช้ภาษาได้อย่างมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และจะทำให้ผู้ที่จะมาลงทุนมั่นใจขึ้นและตัดสินใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น เพราะเท่าที่คุยมากกว่า 20 ประเทศ ไม่อยากไปลงทุนประเทศอื่น อยากจะมาลงทุนในไทยถ้าประเทศไทยมีความพร้อม รวมถึงพัฒนาการผลิตสาขาการบิน สาขาการดูแลผู้สูงอายุ ที่ยังไม่มีการเปิดสอนอย่างกว้างขวาง และสาขาเกษตรฟาร์มิ่ง ที่จะพัฒนาเกี่ยวกับด้านเกษตรไม่ว่าจะเป็น ข้าว ข้าวโพด และการประมง ซึ่งมีความจำเป็นทั้งนั้น และอาชีวะสามารถทำได้ ดังนั้น จะต้องฉีดยาแรงอาชีวะ เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะอาชีพ หากสถานศึกษาติดขัดไม่มีอุปกรณ์การศึกษา ติดขัดเรื่องหลักสูตร เราก็ต้องแก้ไขปรับปรุง เพื่อให้อาชีวะเป็นกำลังหลักในการรองรับการเจริญเติบโตของประเทศและเพื่อเตรียมคนสู่ศตวรรษที่ 21"
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ภายใน 2 - 3 ปีนี้ เราจะต้องช่วยกันพลิกอาชีวะไทยเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของประเทศ โดยอาชีวะจะต้องร่วมมือกับ สพฐ.ในการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีพ เป็น สายอาชีวะ 50:50 สายสามัญ และต้องเพิ่มอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เพื่อยกระดับอาชีวศึกษาทั้งประเทศไทย หากเราไม่พลิดความสามารถ เราก็จะไม่สามารถพลิกประเทศไทยได้ วันนี้ จึงได้ประชุมผู้บริหาร สอศ.และ สพฐ. เพื่อร่วมกันผลักดันการศึกษาอาชีวศึกษา ถ้ามีความจำเป็นและไม่มีประโยชน์ทับซ้อนก็ต้องเร่งดำเนินการทันที ซึ่งสถานศึกษารู้ตัวดีว่าใคครควรพัฒนาด้านใด และขอให้ร่วมมือกับพาสเนอร์ชิปภาคเอกชนในการพัฒนาผู้เรียน มั่นใจว่าอาชีวะฯนำพาประเทศได้
ด้าน คุณหญิงกัลยา กล่าวถึง การขับเคลื่อนสถานศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรและประมง ว่า วันนี้ รัฐมนตรีมาย้ำว่ากับอาชีวะทั้งประเทศว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษาอย่างมาก และจะพัฒนาอย่างจริงจัง จะฉีดยาแรง โดยให้แต่ละสถานศึกษาไปคิดมาว่าจะพัฒนาอะไร เพื่อจเพิ่มกำลังคนคุณภาพเข้าสู่ตลาดแรงงานให้ได้มาตรฐานและเพียงพอกับความต้องการของตลาดมากที่สุดภายใน 2-3 ปีนี้ และจะช่วยกันหางบประมาณมาสนับสนุนให้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดไม่ใช่ฝันแล้วเป็นจริงได้
"เรามีวิทยาลัยเกษตรเเละเทคโนโลยี/วิทยาลัยการประมง อยู่ 47 แห่ง ขณะนี้ดิฉันได้มอบนโยบายให้เตรียมคัดเลือกวิทยาลัยเกษตรเเละเทคโนโลยี วิทยาลัยการประมง 10 วิทยาลัย นำร่อง สู่การสร้างพลเมืองเกษตรกร ยุคดิจทัล (Digital Farming) ที่เหลือ ให้ปลูกไม้เศรษฐกิจในวิทยาลัย วิทยาลัยล่ะ 50 ไร่ หากพื้นที่ใดมีพื้นที่สถานศึกษาเกิน 1,000 ไร่ ให้ปลูก 100 ไร่ขึ้นไป เเละออกเเบบพื้นที่ที่ว่างเปล่าภายในวิทยาลัย เพื่อมาใช้ประโยชน์ อาทิ การออกเเบบการบริหารจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ (รัชกาลที่9) เพื่อให้ชุมชนมีน้ำใช้ตลอดปี คอยให้คำปรึกษาต่างๆ กับชุมชนโดยรอบวิทยาลัย เพื่อขยายผลต่อไป และยังเตรียมให้มีศูนย์ให้คำปรึกษาเกษตรอินทรีย์ (ปลอดสารพิษ) โดยจะขอคำเเนะนำเเละขอความร่วมมือกับสมาคมเกษตรอินทรีย์ฯ เข้ามาช่วยส่งเสริม อีกทั้งจะมีการสังคยนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน อีกด้วย
"ก่อนปีใหม่นี้ เราคงได้เห็นการเริ่มต้นมิติใหม่ ในต้นทางการสร้างพลเมืองเกษตรยุคดิจิทัล เป็นของขวัญปีใหม่แด่ประเทศของเรา ที่เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ด้านการเกษตรเป็นพื้นฐานอย่างแข็งแกร่งสืบไป"
ขณะที่ นายณรงค์ เลขาธิการ กอศ.กล่าวว่าการประชุม ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และบุคลากรจากส่วนกลาง ได้รับทราบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการอาชีวศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 และทำความเข้าใจในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้บริหารสถานศึกษา ได้เสนอความคิดเห็นและแนวทางในการบริหารสถานศึกษาให้สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
"สอศ.จำเป็นต้องพัฒนากำลังคนทั้งในระบบ และระยะสั้น และต้องมุ่งเน้นการผลิตและพัฒนากำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในปริมาณ และคุณภาพ พัฒนากำลังคนที่มีทักษะขั้นสูง โดยผลิตกำลังคนในสาขาใหม่ ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบิน โลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิตอล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร เป็นต้น ซึ่งในส่วนของการฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น ก็จะมุ่งเน้นการสร้างอาชีพให้กับผู้ว่างงาน ยกระดับศักยภาพและพัฒนาทักษะกำลังแรงงาน (Re-Skills/Up-Skills /New-Skills)" เลขาธิการ กอศ.กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี