‘มนัญญา’สั่งกรมวิชาการเกษตรแจงด่วน ปมขอยืดจัดเก็บ 3 สารเคมี 6 เดือน
24 พฤศจิกายน 2562 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ตนจะสั่งการให้กรมวิชาการเกษตรทำหนังสือชี้แจงโดยด่วนถึงข้อเสนอเรื่องการยืดเวลาบังคับใช้ในการจัดเก็บคืนสารเคมีวัตถุอันตรายทางการเกษตร 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส ออกไปอีก 180 วัน หรือ 6 เดือน ว่าจริงหรือไม่ ที่เสนอคณะทำงานหามาตรการช่วยเหลือเกษตรให้พิจารณา โดยอ้างว่ามีสต็อกเหลือกว่า 2.8 หมื่นตัน หลังจากที่มีการประกาศแบน 3 สาร วันที่ 1 ธันวาคม 2562
นางสาวมนัญญา ระบุว่า ที่ให้กรมวิชาการเกษตรชี้แจงมาโดยด่วนถึงเหตุผลในการยืดเวลาจัดเก็บสาร เพราะที่ผ่านมาได้ประชุมหลายครั้ง ไม่ได้มีการแจ้งจะยืดเวลาจัดเก็บสารแต่อย่างใด เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงเช้าเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ตนได้เรียกประชุมสารวัตรเกษตรทั่วประเทศกว่า 300 คน ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติในทุกขั้นตอนการจัดเก็บ 3 สารเคมี ซึ่งได้ถามย้ำถึง 3 รอบ และใกล้จบการประชุมยังถามย้ำอีกว่าใครมีปัญหาในการลงพื้นที่จัดเก็บสารเคมีหรือไม่ และผู้บริหารกรมก็อยู่ ยกเว้นอธิบดี เพราะมีการประกาศแบน 3 สาร ให้มีผลวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ต้องทำทันทีในการแจ้งครอบครองสาร 15 วัน และส่งมอบคืนใน 15 วัน
“ทุกคนบอกไม่มีปัญหา แต่ปรากฏว่าในช่วงบ่ายวันเดียวกัน กรมวิชาการเกษตรมาเสนอที่ประชุมคณะทำงานพิจารณามาตรการเยียวยาผลกระทบเกษตรกรหลังเลิกใช้ 3 สาร ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรฯเป็นประธาน กลับมีการเสนอขอยืดเวลาการบังคับใช้แบน 3 สาร ไปอีก 6 เดือน อ้างว่า 30 วันจัดเก็บสารส่งคืนบริษัทไม่ทัน และยังมีเรื่องสต็อกสารคงเหลือยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยประชุมวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 รายงานเหลือ 3.8 หมื่นตัน มาอีกวันเหลือ 2.8 หมื่นตัน ดังนั้นกรมวิชาการเกษตรต้องทำหนังสือชี้แจงมาทั้งหมด เพราะดิฉันมีหนังสือถามไปเรื่องเสนอยืดเวลาว่าทำไมตอนประชุมกรมวิชาการเกษตร ไม่มีการคัดค้าน ได้ถามถึง 3-4 ครั้ง มีปัญหาไหมในการจัดเก็บคืน” รมช.เกษตรฯ กล่าว
รมช.เกษตรฯ กล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตร เป็นผู้ปฏิบัติในพื้นที่ ยืนยันว่าไม่ติดปัญหาใดๆในการจัดเก็บ เป็นที่ยอมรับในที่ประชุมตอนเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 พอช่วงบ่ายกรมวิชาการเกษตร เปลี่ยนไปได้อย่างไรในเรื่องจัดเก็บสาร ทั้งที่สารวัตรเกษตรกว่า 300 คนบอกไม่มีปัญหา แต่คณะทำงานที่ปลัดเกษตรฯเป็นประธานไปประชุมกันกลับเป็นอีกอย่าง ซึ่งไม่ทราบเช่นกันทำไมเปลี่ยนไป และยังไม่รู้ว่าจะนำเรื่องยืดเวลา 6 เดือนเข้าคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่จะประชุมวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธาน หรือไม่ จึงต้องเรียกหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงจากกรมวิชาการเกษตร มาถึงตนเองในวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
ด้านนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิด กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้ประเมินระยะเวลาการดำเนินการกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ทั้งการแจ้งการครอบครองและการจัดเก็บ หากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการปรับสถานะ 3 สารเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ซึ่งตามขั้นตอนกรมวิชาการเกษตรต้องเปิดรับแจ้งการครอบครองภายใน 15 วัน และต้องให้ผู้ครอบครองนำมาส่งมอบภายใน 15 วันหลังการแจ้ง ซึ่งเหลือเวลาเพียง 8 วันนั้นกระชั้นชิดมาก ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการนำเข้าและผลิต และร้านจำหน่ายตั้งตัวไม่ทัน
อีกทั้งกระบวนการจัดการกับสารเคมี 3 ชนิด ซึ่งมีอยู่เกือบ 3 หมื่นตันนั้น กรมวิชาการเกษตรระบุว่าต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนจึงจะเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายยกเลิกออกไป 6 เดือน แต่การพิจารณาขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตราย
“คณะทำงานของกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาเรื่องการส่งสารเคมีคงค้างกลับคืนบริษัทและส่งไปประเทศที่ 3 เพื่อลดผลกระทบต่อทุกภาคส่วน และลดค่าใช้จ่ายในการทำลาย ซึ่งกรมวิชาการเกษตรรายงานว่าหากสารเคมีทั้ง 3 ชนิดยังอยู่ในรูปแบบสารตั้งต้นสามารถส่งคืนและส่งออกได้ แต่หากผู้ประกอบการนำมาผสมเป็นสูตรที่ปรับให้เหมาะต่อการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชของไทยแล้ว ไม่สามารถจะส่งคืนบริษัทหรือส่งไปประเทศอื่นได้ ดังนั้นปริมาณสต็อกคงค้าง จึงจะยังมีอยู่มาก ต้องใช้เวลาในการจัดเก็บและทำลาย” นายอนันต์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี