เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวหลังทราบข่าวคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเปลี่ยนจากการห้ามใช้สารเคมีเกษตร 3 ชนิด เป็นชะลอการห้ามใช้กรณีพาราควอต และคลอร์ไพรีฟอส ออกไป 6 เดือน ส่วนไกลโฟเซตให้เปลี่ยนจากการห้ามใช้เป็นการใช้ภายใต้มาตรการควบคุม ว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศเรื่องยกเลิก 3 สารเคมีเกษตร และข้อมูลจาก 19 องค์กรเกษตร ถึงความจำเป็นของพาราควอตต่อพืชเศรษฐกิจ และผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ไม่ถูกนำไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตราย
"ดังนั้น 4 เดือนจากนี้ไป กรมวิชาการเกษตร จะต้องศึกษาข้อมูลผลกระทบทางเศรษฐกิจ และหาสารทดแทนมาให้ได้ หากยังไม่มีความชัดเจน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะเซ็นประกาศยกเลิกพาราควอตไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเกษตรกรจะฟ้องศาลปกครองต่อทันที และรัฐบาลต้องระงับการนำเข้า ถั่วเหลือง ข้าวสาลี พืช ผักและผลไม้จากต่างประเทศ ซึ่งยังใช้พาราควอตด้วยเช่นกัน" นายสุกรรณ์ กล่าว
เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย ยังกล่าวอีกว่า เกษตรกร 1.5 ล้านราย เตรียมเดินหน้าฟ้องศาลปกครองทันทีเพื่อคุ้มครองเกษตรกร และการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 73 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกช่วยเกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตมีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัยโดยใช้ต้นทุนต่ำ และสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทำกินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือด้วยวิธีอื่น
ขณะที่ นายกิตติ ชุณหะวงศ์ นายกสมาคมอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การตัดสินครั้งนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า หน่วยงานภาครัฐยังไม่มีความเข้าใจต่อภาคเกษตรกรรมของไทย โดยเฉพาะการใช้ พาราควอต ในกลุ่มพืชเศรษฐกิจ 6 อุตสาหกรรมสำคัญ อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง เกษตรกรจึงต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังมูลค่าการส่งออก 5.7 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ข้อกังวลกรณีที่ร้อยละ 43 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคการเกษตรที่จะหายไป หรืออาจหายไปอีกเท่าไร ดูเหมือนรัฐบาลจะไม่สนใจ และไม่ได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมในประเทศ และการส่งออก ซึ่งสร้างรายได้ให้ประเทศนับหลายแสนล้านบาท หลังจากนี้ สมาคมฯ จะประสานงานไปยังกรมวิชาเกษตร เพื่อรายงานถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน
"มาตรการรองรับและช่วยเหลือที่จะช่วยเกษตรกรอย่างยั่งยืนนั้นยังไม่มี ไม่มีสิ่งหรือสารทดแทน ตอนนี้มีแต่นโยบายด้านงบประมาณที่เร่งรีบอนุมัติ อาทิ งบชดเชยให้เกษตรกรกว่า 3 หมื่นล้านบาท งบจัดซื้อเครื่องจักรตัดหญ้าอีก 2 ร้อยล้านบาท ได้ยินมาว่า งบประมาณเครื่องตัดหญ้าตั้งไว้สูงถึง เครื่องละ 15,000 บาท ทั้งที่ในความเป็นจริงเครื่องตัดหญ้าระบบมือเพียงเครื่องละไม่เกิน 5,000 บาท ตรงกันข้าม งบที่ควรจะมีเพื่อใช้ในการอบรมเกษตรกรให้ใช้สารเคมีเกษตรอย่างถูกต้อง เพียง 90 ล้านบาท กลับไม่อนุมัติและไม่ส่งเสริม" นายกิตติ ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี