เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562 ที่งานบรรยายโครงการวิจัย "คนเมือง 4.0 : อนาคตชีวิตเมืองในประเทศไทย" ณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น.ส.ภัณฑิรา จูละยานนท์ หนึ่งในคณะผู้วิจัย กล่าวในหัวข้อ "การอยู่อาศัยในเมือง" โดยตอนหนึ่งระบุว่า แนวโน้มการอยู่อาศัยของผู้คนชาวเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ จะหันไปหาที่อยู่อาศัยในแนวตั้งหรืออาคารสูง เช่น คอนโดมิเนียม มากขึ้น ดังนั้นจึงมีความท้าทายหลายประการ
1.เก่าก่อนรวย จากปัจจัยสังคมสูงวัย ที่โครงสร้างประชากรวัยเกษียณมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ซึ่งสังคมไทยยังไม่เคยเห็นภาพที่ทั้งอาคารมีสภาพเก่า และหากถึงวันนั้นผู้อยู่อาศัยจะมีงบประมาณมาซ่อมแซมหรือไม่ ขณะที่ห้องอีกจำนวนหนึ่งอาจเป็นห้องว่างๆ ร้างๆ อย่างไรก็ตาม ในประเทศญี่ปุ่นมีมาตรการรับมือเรื่องนี้ โดยให้นิติบุคคลอาคารชุดเก็บเงินจากผู้อยู่อาศัยนอกเหนือจากค่าส่วนกลาง สะสมไว้สำหรับการปรับปรุงสภาพอาคารเมื่อชำรุด
2.การเช่าตลอดชีวิตคือเรื่องปกติ ทั้งจากชาวต่างชาติที่มาอาศัยในประเทศไทย และจากคนไทยเองโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เมื่อราคาห้องแพงขึ้นอาจไม่มีกำลังซื้อก็เลือกจะใช้วิธีเช่าแทน จนกลายเป็นทัศนคติว่าคนรุ่นใหม่ไม่ยึดติดเรื่องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อาจชอบชีวิตยืดหยุ่นเคลื่อนย้ายไปไหนก็ได้มากกว่า สิ่งที่ตามมาคืออาจมีปัญหาระหว่างคนที่ซื้อห้องไว้อยู่อาศัยเองกับคนที่เป็นเพียงผู้เช่าเท่านั้นในอาคารหลังเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม กฎหมายของไทยที่มีในปัจจุบันเกี่ยวข้องเพียงอาคารที่สร้างขึ้นมาโดยให้ห้องทั้งหมดในอาคารมีไว้สำหรับเช่าเท่านั้น ยังไม่รวมอาคารที่มีทั้งผู้ซื้อห้องและผู้เช่าห้องอาศัยอยู่ร่วมกัน ดังนั้นในอนาคตอาจต้องปรับปรุงกฎหมายให้นิติบุคคลอาคารชุดสามารถดูแลได้ทั้งผู้ซื้อห้องและผู้เช่าห้องไปพร้อมๆ กัน รวมถึงการดูแลด้านความปลอดภัยของผู้พักอาศัยด้วย
"มันจะเกิดการแบ่งแยกระหว่าง User (ผู้ใช้งาน) กับ Owner (เจ้าของ) ขึ้นมา คนที่เป็นเจ้าของห้องไม่ใช่คนที่อยู่อาศัย การตัดสินใจต่างๆ เช่น เราต้องปฏิบัติตัวดีต่อเพื่อนบ้าน หรือบ้านเราต้องดูแลดีๆ ก็ไม่เหมือนกับเราเป็นเจ้าของเองแล้ว อันนี้คุณค่าในการใช้งานสำหรับคนที่อยู่กับคนที่เป็นเจ้าของจริงๆ ก็จะแตกต่างกันไป คนที่อยู่กับเพื่อนบ้านก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันขนาดนั้น การเช่ามันเป็นการบอกว่าคนจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งเพียงระยะสั้นตามความจำเป็นเท่านั้น" น.ส.ภัณฑิรา กล่าว
น.ส.ภัณฑิรา กล่าวต่อไปว่า 3.การพัฒนาชานเมือง แต่เดิมการพัฒนาเป็นไปตามแนวถนนและเกิดโครงการหมู่บ้านจัดสรร แต่ระยะหลังๆ มีโครงการรถไฟฟ้าเกิดขึ้นและสิ่งที่เกิดควบคู่กันไปคือการสร้างคอนโดมิเนียมตามเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งสิ่งที่พบคือราคาห้องที่ค่อนข้างแพงทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องออกไปอยู่ไกลจากเขตชั้นในของเมือง ส่งผลต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น เช่น ยังต้องเข้ามาทำงานในกลางเมือง ดังนั้นรัฐต้องวางแผนด้วยว่าจะพัฒนาสาธารณูปโภค-สาธารณูปการให้ครอบคลุมได้อย่างไรเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วย
4.คับที่จนคับใจ กฎหมายไทยระบุว่าห้องในอาคารชุดขนาดต้องไม่เล็กกว่า 20 ตารางเมตร เป็นห้องนอน 8 ตารางเมตร ห้องน้ำ 1.5 ตารางเมตร หากอยู่คนเดียวคงไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีครอบครัวจะเกิดความแออัดขึ้น นอกจากนี้การรับประทานอาหารไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย ห้องจำนวนมากจึงไม่ได้แบ่งส่วนสำหรับทำเป็นครัว
ดังนั้น คนในเมืองก็ต้องไปซื้อหรือรับประทานอาหารนอกบ้าน เท่ากับมีค่าใช้จ่ายประจำวันเพิ่มขึ้น แต่คอนโดฯ ก็ไม่ได้ถูกพัฒนามาพร้อมกับการกำหนดให้ต้องมีตลาด แล้วจะไปหาอาหารรับประทานได้อย่างไร และ 5.เด็กเกิดและเติบโตบนตึกสูง มีโอกาสเล่นตามธรรมชาติน้อยลง มีปฏิสัมพันธ์ตามวัยกับเด็กคนอื่นๆ น้อยลง รัฐต้องคำนึงถึงจุดนี้ในการออกแบบสาธารณูปการเพื่อให้เด็กเติบโตมาอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
"การเช่าตลอดชีวิตมีอีกประเด็นที่สำคัญ คือพอเราเช่าไปตลอดชีวิตเราจะไม่มีหลักแหล่ง คนเมืองจะเริ่มไม่มีหลักแหล่ง สมัยนี้เราอาจจะมีบ้านเป็นแหล่งพักพิง เป็นหลักค้ำประกันในเชิงเศรษฐกิจ-เชิงการเงินให้กับตัวเองได้ แต่เมื่อคนส่วนมากในเมืองไม่มีหลักแหล่ง ไม่มีหลักประกันในชีวิตที่เรียกว่าเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว มันก็อาจเกิดความเสี่ยงเรื่องคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้นในอนาคต หรือเมืองอาจจะต้องรองรับคนจำนวนมากที่ไม่มีบ้านอยู่" น.ส.ภัณฑิรา กล่าวเพิ่มเติม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี