“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”คือคำขวัญของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีไทยระหว่างปี 2502-2506 ซึ่งในยุคนี้ได้ริเริ่มการใช้ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” โดยฉบับแรกเริ่มต้นในปี 2504 “แผนพัฒนาดังกล่าวได้เปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศไทยไปตลอดกาล..จากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคมอุตสาหกรรม” ผู้คนจากชนบททั่วสารทิศละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดมุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่เพื่อเป็นแรงงาน ในระยะแรกหมายถึงเมืองหลวงอย่าง กรุงเทพมหานคร(กทม.) ต่อมาได้ขยายไปยังจังหวัดปริมณฑลและจังหวัดอื่นๆ ที่มีโรงงานตั้งอยู่จำนวนมาก
ในตอนที่ 4 ของเรื่องเล่าจากชุดโครงการวิจัย “คนเมือง 4.0 : อนาคตชีวิตเมืองในประเทศไทย” โดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคนไทย 4.0 แผนงานบูรณาการยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead)ด้านสังคมไทยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จะว่ากันด้วยประเด็น “การทำงานในเมือง” โดยมี ว่าน ฉันทวิลาสวงศ์นักวิจัยประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่อง
“หากกวาดสายตามองไปรอบๆ จะพบว่าคนในเมืองส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ” ตั้งแต่พนักงานทำความสะอาด คนส่งเอกสาร ไปจนถึงที่ปรึกษาด้านการลงทุนหรือนักออกแบบด้านกราฟิก เนื่องจากผลของงานที่ได้ไม่ได้ปรากฏเป็นสิ่งของที่จับต้องได้ ต่างจากภาคเกษตรหรือการทำเหมืองแร่ที่อยู่นอกเมืองแน่นอน ส่วนบรรดาโรงงานอุตสาหกรรมนั้นระยะหลังๆ พบว่า ค่อยๆ ถูกทำให้ขยับออกไปจากเขตเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ
งานบริการอาจแบ่งได้ 2 ประเภทหลักๆ คือ 1.งานบริการขั้นพื้นฐานค่าตอบแทนมักเป็นรอบสั้นๆ รายเที่ยวหรือรายวัน เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ส่งคนเสร็จแล้วก็รับค่าโดยสาร การเรียนรู้มักใช้เวลาไม่นาน หรือเริ่มทำไปพร้อมๆ กับฝึกทักษะนั้นไปด้วย รวมถึงทำงานที่หน้างานเช่น พนักงานทำความสะอาดย่อมไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ กับ 2.งานบริการขั้นส่งเสริม ค่าตอบแทนมักคิดเป็นเวลายาว เช่น งานที่รับเป็นเงินเดือนหรือเงินปี การเรียนรู้ต้องมีหลักสูตรในสถาบันการศึกษาซึ่งใช้เวลาพอสมควร รวมถึงสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้
ประการต่อมา “เทคโนโลยีเปลี่ยน..รูปแบบงานก็เปลี่ยน” ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.)ในปัจจุบันขณะที่กำลังเฝ้ายาม ณ สถานที่แห่งหนึ่ง อาจเปิดร้านขายของออนไลน์แล้วรอให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้ามาทางโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนไปพร้อมๆ กันก็ได้ หรือในอนาคต เมื่อมีระบบอัตโนมัติ (Automation)มีระบบตรวจจับใบหน้า เมืองกลายเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อาชีพยามหรือ รปภ. อาจจะหายไปเลยก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีผู้ทำระบบเครือข่ายที่เป็นเสมือน “ตัวกลางระหว่างคนที่หางานกับนายจ้างที่ต้องการหาลูกจ้าง” หรือ “Platform Economy” เช่น บริษัทอยากจ้างแม่บ้านแต่ก็ไม่รู้จะไปจ้างที่ไหน แม้จะมีบริษัทรับทำความสะอาด แต่ตัวกลางใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยนี้ทำให้ผู้ว่าจ้างได้พนักงานที่ตรงตามความต้องการได้มากขึ้นระบบเครือข่ายตัวกลางนี้ยังถูกใช้จับคู่ผู้ว่าจ้างกับแรงงานบริการขั้นส่งเสริมด้วย
อาทิ คนหางานอาจระบุประวัติ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ใบรับรองทักษะต่างๆ (Certificate) ไว้บนช่องทางตัวกลางเหล่านี้ แล้วรอให้ผู้ต้องการว่าจ้างติดต่อมาเพื่อจ้างงานรูปแบบนี้มักมีทั้งงานบริการขั้นพื้นฐานและขั้นส่งเสริม หรือผู้ว่าจ้างอาจระบุหางานซึ่งมักเป็นงานประเภทที่ใครจะทำก็ได้หากเวลานั้นกำลังอยู่ว่างๆ แต่รูปแบบนี้มักจะเน้นไปที่งานบริการขั้นพื้นฐาน
สำหรับตัวแปรที่นำมาพิจารณา 1.อาชีพอิสระ (Freelance) ได้รับความนิยมมากขึ้น จากหลายเหตุจูงใจ เช่น บางคนขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนเริ่มสร้างธุรกิจของตนเอง แต่บางคนก็เลือกอาชีพอิสระเป็นอาชีพหลัก หรือบางคนใช้อาชีพอิสระเป็นรายได้เสริมจากอาชีพหลัก2.สังคมสูงวัยและครอบครัวที่เล็กลง ปัจจุบันคนวัยทำงานอาจต้องดูแลทั้งลูกและพ่อแม่โดยตรง ไม่เหมือนในอดีตที่อาจไหว้วานให้เพื่อนบ้านดูแลลูก หรือฝากพ่อแม่ให้หลานที่เริ่มรู้ความดูแล ส่งผลให้ต้นทุนทั้งเงินและเวลาเพิ่มขึ้น
3.ผู้ประกอบการทำองค์กรให้เพรียว (Lean) เพื่อให้แข่งขันได้ จึงเกิดความนิยมจ้างงานประเภทจ้างเหมาช่วง (Outsource) แทนการจ้างพนักงานประจำ เพราะมีผลการศึกษาพบว่าช่วยลดต้นทุนได้ถึงร้อยละ 60 4.พื้นที่ทำงานเป็นกิจการที่กำลังเติบโต ตั้งแต่เป็นบริการพื้นที่ทำงานโดยตรง (Co-Working Space) ไปจนถึงพื้นที่อื่นๆ ที่เข้าไปทำงานได้ เช่น ร้านกาแฟ จะพบเห็นหลายคนนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไปนั่งทำงานพร้อมกับสั่งกาแฟมาดื่ม5.ปัจจัยจากความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเช่น เมื่อเกิดฝนตกบ่อยๆ น้ำท่วมบ่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านจะทำอย่างไร
6.การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 พบว่า พื้นที่ทำงานกับกิจกรรมอื่นๆเริ่มทับซ้อนกัน และการทำงานเป็นไปแบบไร้พรมแดน อยู่ที่หนึ่งแต่ทำงานส่งไปให้อีกที่ที่ห่างไกลมากๆ ได้ 7.เครื่องจักรที่มีสมรรถนะใกล้เคียงสมองมนุษย์ แต่ประเด็นนี้ก็มีข้อถกเถียงเช่นกันว่าเครื่องจักรจะแทนที่มนุษย์ได้มากน้อยเพียงใดหรือคนยังต้องการทำงานร่วมกับคนด้วยกันอยู่ และ 8.ระบบสวัสดิการ ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีหน้าตาอย่างไร
นักวิจัยผู้นี้ ฝากข้อคำนึงถึงอนาคตไว้1.รูปแบบเศรษฐกิจแบบนี้ใหม่จะพลิกโฉมแรงงานนอกระบบอย่างแน่นอน นโยบายการจัดแรงงานเข้าสู่ระบบจะซับซ้อนแต่ก็จำเป็นมากขึ้น 2.สังคมจะมุ่งสู่ความเท่าเทียมมากขึ้น รายได้ระหว่างงานบริการขั้นพื้นฐานกับขั้นส่งเสริมอาจไม่ต่างกันมากนัก แต่หากไปในทิศทางนี้ระบบรัฐสวัสดิการก็มีความสำคัญ 3.ผู้คนจะต้องพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยความที่คน 1 คน ทำงานหลากหลาย ใครจะทำอะไรได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับทักษะที่มี การเรียนรู้ตลอดชีวิตจะกลายเป็นบรรทัดฐาน (Norm) ใหม่ของสังคม
4.สภาพของเมืองยังไม่สอดคล้องกับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป เช่น อาคารหรือพื้นที่ 1 แห่ง ช่วงกลางวันกับกลางคืนอาจถูกใช้ทำงานที่แตกต่างกันการวางผังเมืองอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดด้วย 5.พื้นที่สาธารณะจะถูกใช้เป็นที่ทำงานมากขึ้น ซึ่งขยายมาจากการทำงานในร้านกาแฟ ทั้งนี้ “อนาคตของแรงงานสามารถแบ่งได้ถึง 4 แบบ” จากปัจจัยสำคัญ 2 ด้านคือการให้คุณค่ากับเทคโนโลยีมากน้อยเพียงใด และการมีหรือไม่มีรัฐสวัสดิการที่เหมาะสม
ประกอบด้วย 1.หมาป่าเดียวดายโลกที่มนุษย์ยังคงขับเคลื่อนเมืองแต่อยู่อย่างไม่มีรัฐสวัสดิการ แรงงานแต่ละคนต้องดูแลตนเอง ฝ่ายแรงงานบริการขั้นพื้นฐานจะลำบากพอสมควรเพราะรายได้น้อยทำให้เงินออมมีน้อย หรือแม้แต่แรงงานบริการขั้นส่งเสริมหากเจอวิกฤติฉุกเฉิน เช่น บ้านชำรุดต้องซ่อมแซม ก็ใช่ว่าจะไม่ลำบาก ธุรกิจตัวกลางผู้ให้บริการหาคน-หางานจะไม่มีแรงจูงใจพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน แรงงานนอกระบบไม่สามารถตั้งสหภาพแรงงานเพราะไม่รู้จักกัน หรือบางคนทำงานประจำด้วยทำงานเสริมด้วย แต่ก็ต้องแลกด้วยปัญหาสุขภาพกายและจิต
2.หมาข้างถนน โลกที่งานบริการขั้นพื้นฐานทุกประเภทมีเครื่องจักรทำแทนหมด รวมถึงงานบริการขั้นส่งเสริมบางประเภทที่เป็นงานซ้ำๆ ประจำวัน(Routine) และไม่มีรัฐสวัสดิการ คนจำนวนมากจะกลายเป็นคนว่างงานและอาจนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงในสังคม มนุษย์จะติดต่อข้ามกลุ่มสังคมค่อนข้างน้อยเพราะไม่มีความจำเป็นต้องทำงานข้ามกลุ่ม แต่หันไปติดต่อกับธุรกิจให้บริการหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรแทน สังคมแบบนี้จะมีความเหลื่อมล้ำอย่างสูง คนที่ยังเลือกได้อาจไปหาที่อยู่อาศัยในทำเลที่ไม่ต้องมองเห็นภาพที่ไม่สวยงามเหล่านี้
3.หมาเลี้ยงในบ้าน โลกที่งานบริการขั้นพื้นฐานทุกประเภทมีเครื่องจักรทำแทนหมด รวมถึงงานบริการขั้นส่งเสริมบางประเภทที่เป็นงานซ้ำๆ ประจำวัน(Routine) แต่มีระบบรัฐสวัสดิการคอยดูแล เช่น สนับสนุนให้ไปพัฒนาทักษะที่เอื้อต่อการในอนาคต พร้อมกับในระหว่างที่ยังไม่มีงานก็ช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐาน อาทิค่าอาหาร ค่าน้ำประปา-ไฟฟ้า ฯลฯ
สังคมแบบนี้มีความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะไม่ทำงาน เพราะมีทั้งรัฐและเครื่องจักรคอยดูแล แรงงานบริการขั้นพื้นฐานที่มีประสบการณ์อาจถูกจ้างไปปรับปรุงระบบการทำงานของเครื่องจักรให้ดีขึ้น ส่วนแรงงานบริการขั้นส่งเสริมจะมีความสมดุลในชีวิตมากขึ้น หรือบางคนอาจไปถึงขั้นไม่ทำงาน แน่นอนผลกระทบที่ตามมาคือคนที่ยังทำงานและจ่ายภาษีเข้ารัฐอาจไม่พอใจ อนึ่ง คนอาจจะพูดคุยกันน้อยลงเพราะหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นหลัก
4.ฝูงหมาป่า โลกที่มนุษย์ยังคงขับเคลื่อนเมืองแต่ก็มีรัฐสวัสดิการด้วยรัฐช่วยประชาชนที่ชีวิตมีปัญหา แต่ทุกคนที่ทำงานต้องจ่ายภาษีเพื่อหล่อเลี้ยงระบบรัฐสวัสดิการ คนยังได้รับความคุ้มครอง ส่วนธุรกิจตัวกลางผู้ให้บริการหาคน-หางานจะกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญของรัฐในการเก็บภาษีและจ้างงานทั้งสังคม ผู้ให้บริการ 2 กลุ่ม ทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นส่งเสริมมีความเท่าเทียมกัน เมืองมีความคึกคักมากขึ้นและผู้คนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนเนื่องจากรัฐให้การสนับสนุนในฐานะสวัสดิการประเภทหนึ่ง
ในมุมของอนาคต..งานบางอย่างก็ยังคงอยู่ แต่บางอย่างก็อาจจะหายไปหรือเปลี่ยนไปเป็นงานด้านอื่นๆ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี