19 ธันวาคม 2562 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบนโยบายการขับเคลื่อนโครงการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนาปี 2562/63 แก่เกษตรสมาชิกสหกรณ์การเกษตรนิคมฯ บางระกำ จำกัด ต.คุยม่วง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 141 ราย เนื้อที่ 2,555 ไร่ว่า ต้องการสหกรณ์การเกษตรประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกสหกรณ์ลดพื้นที่ทำนาปรังหันมาปลูกข้าวโพดซึ่งเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย
โดยหน่วยงานต่างๆ จะสนับสนุนทั้งในด้านองค์ความรู้ตั้งแต่การเตรียมดิน การดูแลพื้นที่เพาะปลูก ตลอดจนการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งจำหน่าย จากการสำรวจสหกรณ์ที่มีความพร้อมร่วมโครงการในปีนี้ซึ่งกำหนดว่า ต้องเป็นพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกและเกษตรกรต้องลงมือปลูกไม่เกินวันที่ 15 มกราคม 2563 เพื่อจะเก็บเกี่ยวได้ทันในช่วงฤดูแล้ง เบื้องต้นมีสหกรณ์สนใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดหลังนา 156 สหกรณ์ใน 33 จังหวัด สมาชิก 21,392 ราย พื้นที่ประมาณ 156,203 ไร่ คาดว่าจะได้ผลผลิตประมาณ 15,000 – 200,000 ตัน
กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดสรรเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์วงเงิน 100 ล้านบาท ให้สหกรณ์กู้ไปให้สมาชิกลงทุนช่วงเริ่มต้นฤดูการเพาะปลูก จัดหาปัจจัยการผลิตและเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อบริการสมาชิก โดยมีสหกรณ์ที่ต้องการให้ช่วยเหลือในเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 74 สหกรณ์ สมาชิกประมาณ 13,971 ราย โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 1 % ปัจจุบันมีสหกรณ์ขอกู้เงินดังกล่าวแล้ว 39 สหกรณ์ สมาชิก 3,050 ราย วงเงิน 38.9 ล้านบาท
“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยเกษตรกร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ รับนโยบายมาพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหกรณ์จะช่วยให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น เพราะมีอำนาจในการต่อรองผลผลิตทางการเกษตร สมาชิกมีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่แน่นอน” นางสาวมนัญญากล่าว
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์กล่าวว่า สมาชิกสหกรณ์เหล่านี้เคยร่วมโครงการปลูกข้าวโพดหลังนาในปีที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้ต้องการร่วมโครงการอีกเนื่องจากปลูกได้ในที่น้ำน้อย ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าทำนาปรัง และมีการประกันราคาไม่ต่ำกว่า 8 บาทต่อกิโลกรัมที่ความชื้น 14.5 % เกษตรกรที่ร่วมโครงการมีรายได้สูงกว่าปลูกข้าวนาปรัง ทั้งนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์จะนำปัญหาอุปสรรคเมื่อปีที่แล้วมาปรับปรุงและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปให้ความรู้แก่เกษตรกรในการปลูก การดูแลแปลง ป้องกันโรคแมลงระบาด และเก็บเกี่ยวในระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งได้เน้นย้ำให้สหกรณ์เข้าไปแนะนำสมาชิกอย่างใกล้ชิดและทำหน้าที่รวบรวมผลผลิต สำหรับปฏิทินการดำเนินงานนั้นกำหนดเตรียมเมล็ดพันธุ์และดูแลการปลูกระหว่าง 30 พฤศจิกายน 2562 - 15 มกราคม 2563 ทำสัญญารับซื้อข้าวโพดล่วงหน้าระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2562 - 15 มกราคม 2563 และคาดว่า จะเริ่มรวบรวมผลผลิตส่งให้บริษัทคู่ค้าตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป
“โครงการข้าวโพดหลังนายังคงยึดแนวทางปฏิบัติเดิมซึ่งได้ผลดีมากในปี 2561 คือ นโยบายตลาดนำการผลิต โดยจับคู่ธุรกิจระหว่างบริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์กับสหกรณ์ กำหนดจุดรับซื้อร่วมกัน และประกันราคารับซื้อข้าวโพดไม่ต่ำกว่า 8 บาทต่อกิโลกรัมที่ความชื้น 14.5% ซึ่งเป็นราคาหน้าโรงงาน หากความชื้นมากกว่านั้น จะมีการระบุราคารับซื้อตามอัตราความชื้นอย่างชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกร“ นายพิเชษฐ์กล่าว
สำหรับโครงการตามนโยบายของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้สมาชิกสหกรณ์บางระกำเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นประกอบด้วย โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวหลังฤดูทำนา ประจำปี 2562/63 โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวเพื่อสุขภาพ พันธุ์ กข.43 ปีการผลิต 2561/62 โดยมีการร่วมมือกับภาคเอกชนที่รับซื้อในราคาประกัน ตันละ 12,500 บาทที่ความชื้น 15% มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 202 ราย เนื้อที่ 3,802 ไร่ ผลผลิต2,286 ตัน เป็นเงิน 22,425,108 บาทซึ่งสมาชิกขายได้ราคาสูงกว่าท้องตลาด 2,500 – 3,000 บาท/ตัน และปัจจุบันสหกรณ์ฯ ได้ดำเนินโครงการต่อเนื่องในปีการผลิต 2562/63 มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 368 ราย เนื้อที่6,720 ไร่ โครงการรวบรวมรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกและเกษตรกร 31,599 ตัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี