เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2562 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยสถิติเรื่องร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้ามาที่ กสม.ตลอดปี 2562 ว่า มีจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 727 เรื่อง ประเด็นสิทธิที่ร้องเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.สิทธิในกระบวนการยุติธรรม คิดเป็นร้อยละ 29 เช่น กรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทำร้ายผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยระหว่างการจับกุม การไม่แสดงหมายจับ ไม่แจ้งสิทธิผู้ต้องหาหรือดำเนินคดีล่าช้า ผู้ต้องขังในเรือนจำได้รับการปฏิบัติไม่เป็นธรรมหรือต้องอาศัยอยู่ในสภาพเรือนจำแออัด ไม่มีสุขอนามัย เป็นต้น
โดยหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนในประเด็นนี้ ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานในสังกัดกรมราชทัณฑ์ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ตามลำดับ 2.การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม คิดเป็นร้อยละ 16 เช่น กรณีการกำหนดคุณสมบัติตำแหน่งพนักงานส่วนท้องถิ่นไม่ตรงกับมาตรฐานกำหนด มหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้นักศึกษาแต่งกายตามเพศสภาพ และการกำหนดคุณสมบัติห้ามผู้ติดเชื้อ HIV เข้ารับราชการตำรวจ
โดยหน่วยงานที่ถูกร้องในประเด็นเลือกปฏิบัติ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 3.สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล คิดเป็นร้อยละ 12 เช่น กรณีนักเรียนถูกบังคับตัดทรงผมที่ไม่เป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด การขอให้ลบประวัติอาชญากรรมของเด็กและเยาวชนจากทะเบียนประวัติอาชญากร และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกคุกคาม โดยหน่วยงานที่ถูกร้อง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ขณะที่ กสม.มีเรื่องร้องเรียนทั้งเรื่องที่ค้างเก่าและเรื่องที่ร้องเรียนใหม่ในปี 2562 ที่ต้องพิจารณา จำนวนทั้งสิ้น จำนวน 912 เรื่อง และได้จัดทำรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วเสร็จลง จำนวน 499 เรื่อง นอกจากนี้ กสม.ยังได้จัดทำข้อเสนอแนะมาตรการเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเชิงระบบไปยังรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกจำนวน 4 เรื่อง โดยสำหรับรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน จำนวน 499 เรื่องในปี 2562 นั้น ประเด็นสิทธิ 3 อันดับแรก ได้แก่
1.สิทธิชุมชน คิดเป็นร้อยละ 26.45 เช่น ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการดำเนินโครงการพัฒนาของรัฐหรือเอกชนที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ และชุมชนได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่จากโครงการดังกล่าว 2.สิทธิในชีวิตและร่างกาย คิดเป็นร้อยละ 24.65 เช่น เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างถูกควบคุมตัว และ 3.สิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน เช่น กรณีพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทับที่ดินของประชาชน และการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ดินของราษฎร คิดเป็นร้อยละ 11.62
นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อเสนอต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ข้อเสนอแนะการดำเนินงานด้านกระบวนการยุติธรรมจากการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องขังซึ่งเป็นสถานที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน 2.ข้อเสนอแนะพนักงานจ้างเหมาบริการในหน่วยงานของรัฐไม่ได้รับความเป็นธรรม 3.ข้อเสนอแนะการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ และ 4.ข้อเสนอแนะการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะของคนพิการ
นายวัส ติงสมิตร ประธาน กสม.กล่าวว่า ก่อน กสม.ชุดที่ 3 จะเข้ามารับหน้าที่ มีเรื่องการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ดำเนินการเสร็จไปประมาณร้อยละ 10 คงค้างอยู่ร้อยละ 90 โดยเมื่อ กสม.ชุดที่ 3 เข้ามารับหน้าที่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2558 จนถึงสิ้นเดือน ก.ค. 2562 หรือหลังจากปฏิบัติหน้าที่ 3 ปี 8 เดือน สามารถออกรายงานผลการตรวจสอบได้ร้อยละ 80 คงค้างอยู่ร้อยละ 20
“ในระหว่างเดือน ส.ค. - ต.ค.2562 มีร่างรายงานผลการตรวจสอบที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองเสร็จและรอการพิจารณาจากที่ประชุม กสม.ร่วม 200 เรื่อง แต่ กสม.ไม่สามารถเปิดประชุมได้ เพราะมีกรรมการลาออก 2 คน ทำให้เหลือกรรมการฯ เพียง 3 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง คือ 4 คน แต่ภายหลังที่มีการแต่งตั้งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 พ.ย.2562 เป็นต้นมาจนถึงปลายเดือน ธ.ค.2562 กสม.สามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องร้องเรียนและร่างรายงานผลการตรวจสอบที่รอการพิจารณาได้ถึง 389 เรื่อง” นายวัส ระบุ
ปธ.กสม.กล่าวต่อไปว่า การสะสางเรื่องที่รอการพิจารณาในช่วงที่มีกรรมการไม่ครบจำนวนได้มากกว่าครึ่งของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ทำให้ปัจจุบันคงเหลือเรื่องร้องเรียนที่จะต้องดำเนินการอยู่เพียงร้อยละ 10 นอกจากนี้ กสม.ชุดปัจจุบันยังเข้ามาช่วยริเริ่มและขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนในเชิงรุกเพื่อส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนผ่านกิจกรรมต่างๆ ด้วย
อาทิ การเปิดตัวคู่มือการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาขั้นพื้นฐาน 5 ช่วงชั้น สำหรับนักเรียนตั้งแต่ระดับปฐมวัย-มัธยมศึกษาตอนปลายที่จัดทำเสร็จอยู่ก่อนแล้ว โดยการขับเคลื่อนผ่านกลไกศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนใน 6 ภูมิภาค ของ กสม.และการสร้างแกนนำเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้รับรู้ เข้าใจ เท่าทัน และยืนเคียงข้างสิทธิมนุษยชน
ปธ.กสม.ยังกล่าวอีกว่า ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ได้จัดทำและประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้ส่งผลทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่มีการจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าว ตามที่ กสม.ได้มีข้อเสนอแนะไปก่อนหน้านี้ และวางระบบในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจาก กสม.ทั้งยังส่งต่อข้อเสนอแนะต่างๆ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบและให้ความเห็น หรือชี้แจงในประเด็นปัญหา อันจะทำให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายเรื่องสามารถจัดการให้ลุล่วงได้โดยไม่ล่าช้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี