ปี 2562 ที่ผ่านมา สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คงเป็นปีที่เผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย และคงเหมือนกับหลายๆ กระทรวง ที่เป็นรอยต่อระหว่างรัฐบาลเก่ากับรัฐบาลใหม่...เป็นปีที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอย่างน้อย 2 คน หนึ่งคนจากรัฐบาล คสช. และอีกคนหนึ่งจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562
การเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลเก่า กับรัฐบาลใหม่ แม้จะมีนายกรัฐมนตรีคนเดียวกัน แต่นโยบายของแต่ละกระทรวงกลับไม่สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้อย่างราบรื่น สาเหตุหนึ่งมาจากนโยบายที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงของแต่ละพรรคการเมืองซึ่งแตกต่างกันไป
นโยบายของพรรคที่แตกต่างกันยังพอเข้าใจได้ แต่นโยบายของรัฐมนตรีในรัฐบาลเดียวกันไม่สามารถทำให้เป็นเอกภาพได้เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ และเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลนี้ไม่น่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะออกมายืนยันว่าเสียงปริ่มน้ำไม่เป็นอุปสรรค...แต่ในการประชุมสภาที่ผ่านมาหลายครั้งก็คงพิสูจน์แล้วว่า เสียงปริ่มน้ำนั้นเป็นอุปสรรคจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นกระทรวงเดียวกัน แต่มีรัฐมนตรีมาจากหลายพรรคการเมืองยิ่งเป็นอุปสรรคในการบริหารงาน และสานต่อนโยบายสำคัญๆ ที่รัฐบาลเก่าทำผลงานไว้ได้ผลดี โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีรัฐมนตรีมากกว่ากระทรวงอื่น คือมีรัฐมนตรี 4 ท่านมาจาก 4 พรรคการเมือง
รัฐมนตรีว่าการ เฉลิมชัย ศรีอ่อน จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งชูนโยบายการแก้ปัญหาผลผลิตพืชเศรษฐกิจสำคัญราคาตกต่ำ และแก้ปัญหาที่ดินทำกิน รัฐมนตรีช่วยฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า จากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคที่ชูนโยบาย 3 เพิ่ม 3 ลด เพิ่มรายได้ เพิ่มนวัตกรรม เพิ่มทางเลือก ลดหนี้ ลดต้นทุนการผลิต และลดความเสี่ยง
รัฐมนตรีช่วยฯ ประภัตร โพธสุธน จากพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งชูนโยบาย ใช้ตลาดนำการผลิต ส่งเสริมปลูกพืชที่ทำรายได้ดี ฟื้นฟูการประมง รวมทั้งให้ทุนเรียนฟรีระดับปริญญาตรีด้านการเกษตร รัฐมนตรีช่วยฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ จากพรรคภูมิใจไทย ที่ชูนโยบายทวงคืนกำไรให้ชาวนา โดยเสนอกฎหมายตั้งกองทุนข้าว
ระบบกำไรแบ่งปัน และจะนำระบบนี้ไปใช้กับพืชชนิดอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะ ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา 5 เดือน ยังไม่เห็นนโยบายของกระทรวงเกษตรเกษตรฯ ที่ชัดเจนว่าจะเร่งรัดเรื่องใดเป็นพิเศษ เป็นแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วนเท่านั้น แค่เรื่องปัญหาสารเคมี 3 ชนิดอย่างเดียวก็พอจะรู้ว่ารัฐมนตรีทั้ง 4 ท่าน ต่างคนต่างทำงานของตนไป แม้แต่นโยบายของพรรคที่เคยประกาศไว้ตอนหาเสียงก็ดูเหมือนจะลืมไปเสียด้วยซ้ำ
รัฐมนตรีว่าการ เฉลิมชัย ศรีอ่อน มี อลงกรณ์ พลบุตร เป็นที่ปรึกษา โดยมีบทบาทในตำแหน่งที่ปรึกษาเกือบจะเทียบเท่ารัฐมนตรีเลยทีเดียว ทั้งการให้แนวทางหรือนโยบายการทำงานกับหน่วยราชการที่รัฐมนตรีว่าการ ดูแล รวมทั้งนโยบายด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงเกษตรฯ ในการแก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ก็มีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นหัวหอกในการดำเนินการ โดยเฉพาะยางพารา
ส่วนปาล์มน้ำมัน ก็ได้อานิสงส์ จากคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่มีรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ที่ไปขอให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตกระแสไฟฟ้า และการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น จึงดึงให้ราคาปาล์มน้ำมันกระเตื้องขึ้น
รัฐมนตรีช่วยฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ผ่านมาก็เร่งปรับปรุงการบริหารงานของ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ประกาศล้างบางนอมินีแผงค้าที่ อ.ต.ก. จตุจักร และจะจัดตั้ง อ.ต.ก. ให้ครบทั้ง 77 จังหวัด ซึ่งอาจจะเป็นงานที่หนักหนาสาหัส จนผู้อำนวยการคนเก่า กมลวิศว์ แก้วแฝก ต้องไขก๊อกลาออกไป
ห่างหายจากพื้นที่สื่อไปสักพักในช่วงที่ สื่อให้พื้นที่รัว ๆ กับ รัฐมนตรีช่วย มนัญญา ไทยเศรษฐ์ เรื่องการแบนสารเคมี 3 ชนิดรัฐมนตรีช่วยฯ ธรรมนัส กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับข่าวดังระดับประเทศ เกี่ยวกับพื้นที่ ส.ป.ก. ของ สส. ปารีณา ไกรคุปต์ กระเทือนถึงที่ดิน ส.ป.ก. ทั้งประเทศ...
รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ที่ผ่านมาก็ทุ่มเทอยู่กับการแบนสารเคมี 3 ชนิด โดยมีแรงหนุนจากหัวหน้าพรรค ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ที่รวมพลังกันแบบเอาเป็นเอาตายกับการแบนสารเคมีทางการเกษตร โดยอ้างว่าเพื่อสุขภาพของประชาชน แต่ไม่ได้เห็นใจเกษตรกร เหมือนอย่างนโยบายที่ประกาศไว้ตอนหาเสียง....
รัฐมนตรีจากพรรคชาติไทยพัฒนา ประภัตร โพธสุธน เป็นรัฐมนตรีที่ค่อนข้างจะโลว์โปรไฟล์ ไม่ค่อยเป็นข่าว แต่ชอบลงพื้นที่เยี่ยมชาวบ้าน ไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเล็กๆ น้อยๆใช้วิธีการสั่งการหน่วยงานในพื้นที่เพื่อสนองนโยบายของพรรค โดยเฉพาะการส่งเสริมปลูกพืชที่ทำรายได้ดี เป็นนโยบายตะมุตะมิ เช่น ส่งเสริมปลูกถั่วเขียว โดยไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวจะเอามาจากไหนได้มากมายพอที่จะส่งเสริมปลูกได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน..เดือดร้อนหน่วยงานในกำกับดูแลต้องไปหามา..ได้หรือไม่ไม่อาจยืนยัน...
ปี 2563 ที่กำลังจะก้าวต่อไป...กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรกำหนดนโยบายการดำเนินงานในเรื่องสำคัญๆ เพื่อให้ข้าราชการมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจน เกษตรกรมีความหวังที่จะสร้างผลผลิตให้มีคุณภาพ เพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรืออย่างน้อยก็ขอให้การบริหารงาน หรือ การทำงานของรัฐมนตรีในสังกัดเป็นเอกภาพก็เอาละ....
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี