สั่งตั้งกก.สอบ
ปม4นักโทษพิษณุโลกดับ
สมศักดิ์เร่งหาสาเหตุ
ยังเฝ้าระวังอีก32ราย
เชื่อ7วันจะเข้าสู่ปกติ
“สมศักดิ์”สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบหาสาเหตุกรณี 4 นักโทษเสียชีวิต ในเรือนจำพิษณุโลก แพทย์เฝ้าระวังอาการอีก 32 ราย ประมาณ1 สัปดาห์ รอผลชันสูตร 4 ศพ อีก 2 สัปดาห์ ลั่นหากสาเหตุการตายมาจากอาหาร จะฟ้องเรียกค่าเสียหาย บริษัทส่งอาหาร ด้าน อธิบดีกรมราชทัณฑ์-ผู้ว่าฯพิษณุโลก ประชุมวางแผนป้องกันการแพร่ระบาด ยันควบคุมโรคได้ เชื่อ 7 วัน สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ
เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของนักโทษในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 4 รายแล้วนั้นว่า เบื้องต้น ประเด็นสาเหตุการเสียชีวิต คาดมาจากอาหารที่ส่งผลให้เกิดภาวะฮอร์โมน T3 ,T4 มีปัญหาต่อการควบคุมต่อมไทรอยด์เป็นพิษ, ปริมาณโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ตนตั้งข้อสงสัยว่าผู้ต้องขังเสียชีวิตจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เกิดในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกระชั้นชิดกันของผู้ต้องขังรายที่ 1-4ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์ผู้ต้องขังเสียชีวิตในเวลาใกล้พร้อมกัน และจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน และจากการที่ได้คุยกับนักวิชาการบางท่าน ก็ยังคาดว่าอาจมีสาเหตุมาจากการก่อสร้างเรือนจำ ที่อาจจะทำให้เกิดการสูดดมแอลกอฮอล์ชนิดที่เป็นพิษเข้าร่างกาย ดังนั้นขณะนี้ ขออย่าเพิ่งมั่นใจว่า จะเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง
“ผมได้สั่งการอธิบดีกรมราชทัณฑ์ไปแล้วว่า ให้ทุกเรือนจำ สอดส่องดูแลและหากมีผู้ต้องขังเสียชีวิตต้องดูแลเด็ดขาดในการจัดการรวมทั้ง สั่งตั้งคณะกรรมการ ตรวจสอบสาเหตุการตายว่าเกิดจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่หรือไม่ ถ้าพบอาจจะมีการสั่งย้าย หรือ ถ้าพบจากหน่วยงานภายนอก ส่วนจะพิจารณาจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ต้องขังที่เสียชีวิตในกรณีดังกล่าวนั้น ต้องรอให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องได้ศึกษารายละเอียดก่อน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุครั้งนี้ เป็นความผิดของผู้ใด หรือบริษัทส่งอาหาร ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่า เกี่ยวพัน เป็นความผิดของบริษัทส่งอาหาร ก็จะมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้กับผู้ต้องขังที่เสียชีวิตทั้ง 4 คน”รมว.ยุติธรรม กล่าว
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะต้องดูรายละเอียดว่าอาหารซื้อมาจากร้านค้าใด ระบบการทำบัญชี ใบเสียภาษี จะต้องดูทั้งหมด หากเป็นเรื่องของอาหารผู้รับจ้างก็ต้องรับผิดชอบ ปัญหาอาหารไม่ได้คุณภาพก็เป็นประเด็นหนึ่งซึ่งจะต้องดูให้ครบถ้วน ทั้งปริมาณและคุณภาพอาหารที่กำหนดอยู่ในสเปคให้ครบถ้วน เพราะว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้บัญชาการเรือนจำฯและคณะกรรมการตรวจรับตรวจจ้างซื้ออาหาร ถ้าหากปล่อยปละละเลยก็จะเกิดขึ้นอย่างกรณีเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก อย่างไรก็ตาม การที่ร่างกายมีภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษนั้น ถ้าผู้ต้องขังได้เข้าถึงแพทย์ก็จะไม่มีการเสียชีวิตพร้อมกันจำนวนมากมาย
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เบื้องต้น ได้มีการเก็บกากอาหารและน้ำในกระเพาะอาหารจากนักโทษที่เสียชีวิต ซึ่งแพทย์จะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบประมาณ 2 สัปดาห์ ในส่วนของผู้ต้องขัง ที่มีอาการป่วยนั้นแพทย์จะใช้เวลาตรวจสอบ1สัปดาห์ สำหรับเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก มีผู้ต้องขังทั้งหมดกว่า 3,500 คน ที่ตรวจดูการเต้นหัวใจมากกว่า 80 ครั้งต่อนาที จำนวน 690 คน และในจำนวนนี้ มีที่มีอัตราการเต้นหัวใจเร็วกว่า 130 ครั้งต่อนาที มีจำนวน 32 คน จากการตรวจกลุ่มผู้ต้องขัง 32 คน พบว่าระดับฮอร์โมนไทรอยด์สูงจำนวน 30 คน ซึ่งอยู่ในการดูแลเฝ้าระวังอาการของแพทย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีนักโทษเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ป่วยเสียชีวิตถึง 4 คนนั้น เมื่อคืนของวันที่ 5 มกราคม นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก พร้อม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนปฏิบัติการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค คาดว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 7 วัน ส่วนของผู้ต้องขังเกือบ 50 คน ที่ป่วยยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ช่วงเช้า ที่หน้าเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก มีบรรดาญาติผู้ต้องขังจำนวนมากเดินทางมาเยี่ยมผู้ต้องขัง ส่วนใหญ่รู้สึกกังวลใจที่เรือนจำแห่งนี้ มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก และเสียชีวิตไปแล้วถึง 4 คน วอนเจ้าหน้าที่ให้ช่วยดูแลผู้ต้องขังอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องอาหาร ที่หลับนอน
จากนั้น พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้เข้าไปตรวจสอบภายในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลกพร้อมได้พบปะและชี้แจงสถานการณ์กับญาติของนักโทษถึงสาเหตุการเกิดโรคระบาดในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก โดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ได้เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ ขณะนี้อาจจะเร็วเกินไปว่าเกิดจากสาเหตุอะไรแต่จากหลักฐานของกรมควบคุมโรคและสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมีภาวะโปแตสเซี่ยมต่ำ น่าจะเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนของไทรอยด์มากเกินไป ทำให้ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ มือเท้าอ่อนแรง บางรายมีอาการหนักมากจึงเสียชีวิต
“กรมราชทัณฑ์ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงประสานกับกระทรวงสาธารณสุขได้ระดมกำลังแพทย์พยาบาลเข้ามาช่วยเหลือคัดกรอง เบื้องต้น ด้วยการจับชีพจร ถ้าเกินกว่า 100ครั้งต่อนาที โดยแยกออกมาได้จำนวน 610 คน และทำการตรวจคัดกรองอย่างละเอียดและรับตัวเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลทันทีประมาณ 50 คน ได้แก่ โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวร 25 คน โรงพยาบาลวังทอง 4-5 คน และโรงพยาบาลพุทธชินราชประมาณ5 คน รวมแล้วนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลประมาณ 50 คน โดยมีแพทย์ดูแลใกล้ชิด จึงขอให้ญาติไม่ต้องกังวล โดยที่ทางญาตินักโทษ ขอให้เรือนจำควบคุมเรื่องคุณภาพอาหารให้ได้คุณภาพ และในวันที่ 7 มกราคม กระทรวงสาธาณสุขจะมีการเจาะเลือด 100%ในผู้ต้องขังทั้งหมด3,000 กว่ารายเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์คัดกรองโรคในห้องแล็ป ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์จึงจะได้ผลที่ชัดเจนออกมา ”พ.ต.อ.ณรัชต์ ย้ำ
ส่วนเรื่องการตรวจอาหารเพื่อหาสาเหตุของโรคนั้นต้องรอผลตรวจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตนก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าอาหารที่ส่งไปให้ตรวจในแล็บนั้นเป็นตัวอย่างชิ้นเนื้อที่ปนเปื้อนจริงหรือไม่อย่างไร กรมราชทัณฑ์ก็ได้ให้ผู้ตรวจราชการของกรมมาเก็บข้อมูลไปตรวจสอบด้วยการดำเนินการถ้าหากผลออกมาแล้วมาจากอาหารปนเปื้อน อาหารไม่ดีจะพิจารณาข้อบกพร่องทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนเรื่องทางปกครองขอเวลาพิจารณาว่าอาจจะใช้มาตรการทางการปกครองในการย้ายสับเปลี่ยนหรือไม่
ด้าน นายแพทย์ ปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ผู้ต้องขังที่ป่วยยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 3 แห่ง ประกอบไปด้วย โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จำนวน 24 ราย โรงพยาบาลพุทธชินราช 4 ราย โรงพยาบาลวังทอง 20 ราย รวม 48 ราย แต่ทุกรายอาการดีขึ้นตามลำดับ และวันที่ 7 มกราคม ทีมแพทย์จะเข้าไปตรวจเลือดให้ผู้ต้องขังทั้งหมดตามแผนอีกครั้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี