คิดว่าเรื่องร้าย ๆ ของกรมวิชาการเกษตร อย่างเรื่องการแบนสารเคมี 3 ชนิด จะหมดไปในปีเก่า แต่ก็ยังมีผลต่อเนื่องมาถึงปี 2563 นี้ เพราะว่าแม้คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติยังไม่แบนพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส แต่ก็เป็นเพียงการชะลอไว้ 6 เดือน จนถึง 1 มิถุนายน 2563 เพื่อให้กรมวิชาการเกษตรไปหาแนวทาง หรือวิธีการหรือหาสารทดแทน สารเคมีทั้ง 2 ชนิดมาให้ได้เสียก่อน เท่ากับเป็นการชะลอความเดือดร้อนของเกษตรกรออกไป แต่เมื่อครบกำหนด6 เดือน กรมวิชาการเกษตรยังมีแต่ความว่างเปล่าเหมือนที่ผ่านมา ถึงเวลานั้นเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนอาจจะหวนกลับมาเรียกร้องขอความเห็นใจอีก
ส่วนไกลโฟเซต ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติไม่แบนแต่ให้ควบคุมการใช้ ก็ต้องมีกฎกติกามากมายเพื่อให้ผู้จำหน่าย และผู้ซื้อไปใช้ ตลอดจนผู้รับจ้างฉีดพ่นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเข้มงวด จำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่จะเพียงพอในการปฏิบัติงานหรือไม่ เป้นเรื่องที่น่าห่วง
เรื่องร้ายๆ อีกเรื่องหนึ่งของกรมวิชาการเกษตร คือการถูกตัดงบประมาณประจำปี 2563 จำนวน 638 ล้านบาท เกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณทั้งปี นับว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของกรมวิชาการเกษตร ส่วนสาเหตุที่คณะกรรมาธิการตัดงบประมาณมากมายปานนั้น ก็คาดเดาสาเหตุกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเพราะถูกกลั่นแกล้ง จากรัฐมนตรีเนื่องจากกรมไม่ยอมทำตามคำสั่งบ้าง หรือเพราะตัดเอางบไปให้กระทรวงกลาโหมบ้างเนื่องจากนายกรัฐมนตรีคุมกระทรวงกลาโหม
ข้อสันนิษฐานที่คาดเดากันนั้นต้องบอกว่าไม่น่าจะใช่ เพราะอนุกรรมาธิการที่พิจารณางบประมาณจะมาจากหลายพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล อนุกรรมาธิการท่านที่พิจารณางบประมาณของกรมวิชาการเกษตร ชื่อ วรวัจน์เอื้ออภิญญกุล จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นรองประธาน การตัดงบประมาณหน่วยงานใดๆ เป็นความเห็นชอบของคณะอนุกรรมาธิการทั้งคณะ
อีกประการหนึ่งงบประมาณของกองทัพก็ถูกแขวนเป็นหมื่นล้านบาท โดยเฉพาะงบจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ต้องยกคณะเสนาธิการเข้าชี้แจงกันละเอียดยิบ ถ้าตอบคำถามได้ก็ผ่าน ตอบไม่ได้ก็ตัดไป ข้อสันนิษฐานของคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ของการพิจารณางบประมาณ ก็มักจะเห็นใจคนที่ถูกตัดงบไป แต่ไม่มีใครถามว่า หน่วยงานชี้แจงได้หรือไม่ ถ้าชี้แจงไม่ได้ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องถูกตัดงบ เพราะถือว่าไม่มีเหตุผลที่สมควรในการตั้งงบประมาณจำนวนนั้น
ผลกระทบที่ตามมาจากการถูกตัดงบประมาณ คือการทำงานตลอดปี 2563 ของกรมวิชาการเกษตร ที่อาจจะไม่มีงบประมาณเพียงพอในการจ้างบุคคลากรที่เป็นพนักงานจ้าง ส่วนข้าราชการคงไม่มีผลอะไรนอกจากอาจจะต้องทำงานหนักขึ้นโดยไม่มีเงินค่าล่วงเวลา และไม่มีพนักงานจ้างช่วยงาน อาจจะกระทบกับงานวิจัยที่เป็นแปลงทดลอง ซึ่งต้องจ้างแรงงานทำงานในแปลง อาจจะกระทบกับการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น อาจจะกระทบกับการดำเนินงานตามโครงการต่างๆ ที่วางแผนไว้แล้ว อาจจะกระทบกับงานบริการ เช่น การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างทั้งหลาย การตรวจรับรองแปลง และกระทบกับงานอื่นๆ อีกมาก
มีคนยุให้ กรมวิชาการเกษตร หยุดทำงานวิจัยหยุดให้บริการ ระงับโครงการ ข้าราชการหยุดลงพื้นที่ เพื่อประหยัดค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่ายการเดินทางผู้บริหารหยุดติดตามรัฐมนตรีลงพื้นที่ ไม่ต้องสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เพราะถ้าถูกตัดงบประมาณมากมายขนาดนี้ แล้วยังทำงานได้เหมือนเดิมปีงบประมาณหน้ากรรมาธิการอาจจะพิจารณาให้งบประมาณเท่ากับปีนี้ที่ถูกตัดไปแล้ว....นี่ก็เข้าใจยุดีจัง...... โดยส่วนตัวแล้ว เชื่อว่ากระทรวงเกษตรฯ คงไม่ปล่อยให้กรมวิชาการเกษตรอยู่ในสภาพแบบนี้แต่จะหาทางออกอย่างไร คงต้องรอดูวิสัยทัศน์ผู้นำ....
การถูกตัดงบประมาณเป็นร้อยๆ ล้านบาท ทำเอาหน่วยงานในสังกัดระส่ำกันไม่น้อย และยังไม่หายตกใจดี วันหยุดยาวระหว่างเทศกาลปีใหม่กำลังจะผ่านพ้น เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้อาคารเก็บเอกสารของสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ซ้ำเติมเข้ามาอีกในคืนวันที่ 2 มกราคม 2563 ดีที่ควบคุมเพลิงไว้ได้ทัน ทำให้ความเสียหายไม่มากมายนักในส่วนของอาคารสถานที่ แต่เอกสารต่างๆ ที่ถูกเผาไหม้ในกองเพลิงมีความสำคัญมากน้อยเพียงไรไม่มีการเปิดเผย
มีเพียงคำยืนยันจาก รัฐมนตรีช่วยฯ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ที่ไปดูที่เกิดเหตุใน 2 วันต่อมาว่า เป็นเอกสารงานวิจัยต่างๆ ซึ่งเป็นผลงานวิจัยหลายปีแล้ว คงไม่กระทบการทำงานด้านวิจัย เพราะเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่ข้อมูลงานวิจัยสำคัญๆ จะเก็บในคอมพิวเตอร์ ไม่เก็บเป็นเอกสารสักเท่าไร....นี่คงเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีช่วยฯ มนัญญา พูดแก้ตัวให้กับกรมวิชาการเกษตร
อย่างไรก็ตาม หวังว่ากรมวิชาการเกษตรจะผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ ไปได้ด้วยความมุ่มั่น ตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องเกษตรกรและเพื่อประเทศชาติด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ด้วยความรู้ความสามารถ ของบรรดาบุคลากรของกรม
สัปดาห์แรกของการทำงานในปี 2563 รู้สึกตื่นเต้น ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ตั้งโต๊ะแถลงข่าว การเตรียมรับมือภัยแล้งของกระทรวงเกษตรฯ ที่สั่งการให้กรมชลประทาน บริหารจัดการน้ำจากนี้ไปจนถึงเดือนเมษายน 2563 รวมทั้งการแจ้งเตือนเกษตรกรให้เข้าใจและรับทราบในสถานการณ์น้ำต้นทุนที่สามารถจะช่วยการเพาะปลูกของเกษตรกรได้ โดยให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยทดแทนการทำนา โดยเฉพาะในเขตลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด
พื้นที่นอกเขตชลประทาน ให้กรมชลประทานขุดบ่อน้ำในไร่นาประมาณ 40,000 บ่อ จัดทำแก้มลิงกว่า 400 แห่ง เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้บรรเทาการขาดแคลนน้ำ...แต่บ่อน้ำ และแก้มลิงที่ดำเนินการในปีนี้ คงต้องเก็บไว้ใช้ปีหน้า เพราะปีนี้คงไม่มีน้ำจากไหนมาให้เก็บ
ล่าสุดนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศให้เรื่องน้ำเป็นวาระแห่งชาติ เชิญชวนให้ประชาชนช่วยกันประหยัดน้ำ สู้ภัยแล้ง....ส่วนรองนายกฯ พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ บอกว่า ครม. มีมติอนุมัติงบกลางกว่า3,000 ล้านบาท ให้กระทรวงมหาดไทย ทหาร และกรมทรัพยากรนน้ำบาดาลไปดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งรวมแล้วกว่า 2,200 โครงการ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปขุดเจาะบ่อบาดาลอีก 500 บ่อ ....เอ้า...สู้..สู้..
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี