บิ๊กตู่สั่งกองทัพ
ลุยพื้นที่วิกฤติช่วยสยบฝุ่นพิษ
บอร์ดสิ่งแวดล้อมถกด่วน
เคาะมาตรการเข้มทั้งปท.
PM2.5กทม.กระเตื้องขึ้น
นายกฯสั่งทุกเหล่าทัพช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษในพื้นที่วิกฤติเป็นการด่วน เน้นคุมต้นเหตุ ขอให้เสียสละลดใช้ยานพาหนะส่วนตัว จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ด้านบิ๊กป้อมรับบัญชานั่งหัวโต๊ะถกบอร์ดสิ่งแวดล้อม 23 มกราคม ดึงผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางแก้ไขทั้งประเทศ ก่อนประกาศเป็นมาตรการเข้ม ด้านรมว.ทส.ขออภัย ปชช.อาจทำให้ไม่สะดวก กำชับกรมควบคุมมลพิษปรับปรุงแอพฯวัดค่าPM 2.5 หลังมีเสียงติงไม่เรียลไทม์ ขณะที่ส.ส.ชงเป็นญัตติด่วน ตั้งกมธ.วิสามัญแก้ปัญหา PM 2.5 จี้รบ.ยกเป็นวาระแห่งชาติ ส่วนสถานการณ์ฝุ่นในกทม.ดีขึ้น แต่ยังเกินมาตรฐานกระทบสุขภาพ 14 เขต เพราะมีลมพัดต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 22 มกราคม กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร (กทม.)รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 สรุปผลตรวจตั้งแต่เวลา 05.00-07.00 น.วัดได้ 31-74 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 49 มคก./ลบ.ม.
กทม.อาการดีขึ้นลมพัดฝุ่นจาง
รายงานผลตรวจวัดคุณภาพอากาศประจำวัน ยังระบุด้วยว่า สาเหตุที่ค่า PM 2.5 มีแนวโน้มลดลง มาจากมวลอากาศหนาวส่วนใหญ่ไหลลงทะเลจีนและมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้เกิดลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมาต่อเนื่อง ช่วยพัดพาฝุ่นควัน PM 2.5 ออกไป คุณภาพอากาศใน กทม.จึงดีขึ้น แต่ยังคงมีค่าเกินมาตรฐาน อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 14 พื้นที่ คือ
1.เขตวังทองหลาง หน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 72 มคก./ลบ.ม.
2.เขตบางคอแหลม บริเวณป้อมตำรวจสี่แยกถนนตก : มีค่าเท่ากับ 58 มคก./ลบ.ม. 3.เขตยานนาวา ใกล้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ : มีค่าเท่ากับ 51 มคก./ลบ.ม. 4.เขตจตุจักร บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : มีค่าเท่ากับ 52 มคก./ลบ.ม. 5.เขตบางกะปิ ข้างป้อมตำรวจตรงข้ามสำนักงาน เขตบางกะปิ : มีค่าเท่ากับ 61 มคก./ลบ.ม 6.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบังข้างป้อมตำรวจ : มีค่าเท่ากับ 58 มคก./ลบ.ม. 7.เขตคลองสาน หน้าห้องสมุดใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน : มีค่าเท่ากับ 52 มคก./ลบ.ม.
8.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 61 มคก./ลบ.ม. 9.เขตคลองเตย ภายในสำนักงานเขตคลองเตย : มีค่าเท่ากับ 62 มคก./ลบ.ม. 10.เขตบางซื่อ ภายในสำนักงานเขตบางซื่อ : มีค่าเท่ากับ 52 มคก./ลบ.ม. 11.เขตหลักสี่ ในสำนักงานเขตหลักสี่ : มีค่าเท่ากับ 62 มคก./ลบ.ม. 12.เขตบึงกุ่ม ในสำนักงานเขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 69 มคก./ลบ.ม. 13.ริมถนนสุขาภิบาล 5 เขตสายไหม 54 มคก./ลบ.ม. 14.ริมถนนวิภาวดีรังสิต เขตดอนเมือง 53 มคก./ลบ.ม.
นายกฯสั่งกองทัพร่วมแก้ฝุ่นพิษด่วน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมสั่งการให้ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ทำงานร่วมกับจิตอาสา สนับสนุนส่วนราชการเร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเป็นการเร่งด่วน โดยเฉพาะการควบคุมต้นเหตุของปัญหา โดยให้กองทัพอากาศ นำอากาศยานไร้คนขับตรวจสภาพอากาศ เพื่อวางแผนสนับสนุนการทำฝนหลวงและขยายผลสำรวจจุดความร้อนในพื้นที่ แจ้งเตือนกำลังภาคพื้น เร่งเข้าไปควบคุมไฟป่าและพื้นที่ก่อให้เกิดควัน พร้อมกับให้กำลังทางบกของหน่วยทหารในพื้นที่ ร่วมตรวจสอบสนับสนุนส่วนราชการต่างๆ กวดขันบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมต้นเหตุของปัญหา ทั้งจากการเผาพืชไร่ โรงงาน การก่อสร้างและยานพาหนะควันดำ พร้อมจัดกำลังพลและยานพาหนะ สนับสนุนการชำระล้างถนน ทางเท้าและต้นไม้ริมทาง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นระดับต่ำที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง พร้อมให้จัดแพทย์สนามกระจายลงพื้นที่ดูแลสุขภาพเด็กและคนชราและให้คำแนะนำกับประชาชน
ขอให้เสียสละลดใช้รถส่วนตัว
“นายกฯยังกำชับทุกเหล่าทัพ ขยายผลนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่บรรเทาปัญหา รวมทั้ง เร่งตรวจสอบปรับปรุงยานพาหนะในสังกัดและระงับการนำยานพาหนะเข้าพื้นที่วิกฤตหากไม่จำเป็น พร้อม ขอความร่วมมือรณรงค์กำลังพลและครอบครัว รวมทั้งประชาชนในพื้นที่รอบหน่วยทหาร ร่วมเสียสละและรับผิดชอบสังคมไปด้วยกัน ในการลดต้นเหตุกิจการที่ก่อให้เกิดควันและลดใช้ยานพาหนะส่วนตัวเข้าพื้นที่วิกฤตชั่วคราว โดยให้หน่วยพิจารณาจัดยานพาหนะเป็นส่วนรวม สนับสนุนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย” พล.ท.คงชีพกล่าว
กก.สิ่งแวดล้อมนัดถก23ม.ค.
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายกฯมอบหมายให้แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 หลังรุนแรงถึงขั้นโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครกว่า 400 โรงปิดเรียนชั่วคราวว่า จะทำให้ดีที่สุด เบื้องต้นได้เชิญฝ่ายต่างๆ มาร่วมประชุมกับคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมวันที่ 23 มกราคมที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อวางมาตรการป้องกัน แก้ไข และแผนระยะยาว ด้วยการทำเป็นภาพรวมทั้งประเทศ เป็นการแก้ปัญหาฝุ่นอย่างยั่งยืน
อุบไต๋คลอดมาตรการใช้ยางแรง
ผู้สือข่าวถามว่าแสดงว่า 12 มาตรการของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ ยังไม่ใช่ยาแรงใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 มกราคมยังไม่ได้มีมาตรการอะไรออกมา แค่พูดคุยกัน แต่ความจริงเรื่องนี้มีระเบียบอยู่แล้ว กรมควบคุมมลพิษดูแลอยู่ อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ทุกฝ่ายต้องมาคุยกัน ร่วมมือกันทำ ซึ่งยาแรงที่พูดถึงนั้น ต้องดูด้วยว่าทุกฝ่ายต้องยอมรับ ส่วนจะนำโมเดลต่างประเทศมาใช้หรือไม่ ให้รอดูที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมพิจารณา ผลออกมาแล้วจะรายงานให้ครม.รับทราบ แต่ตอนนี้รัฐบาลทำทุกอย่างแล้ว ยืนยันจะทำให้ดีที่สุด
มท.-ทส.ถกแก้ฝุ่นเน้นกำจัดต้นตอ
ขณะที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยกล่าวถึงการแก้ปัญหาฝุ่นว่า เดิมมีแนวทางของกระทรวงทรัพยากรฯอยู่แล้วว่าถ้าระดับฝุ่นความเข้มข้นไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม. เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆดำเนินการในภาวะปกติ แต่หากเกิน 50 -75 มคก./ลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเข้ามากวดขันสาเหตุ และถ้าเกิน 76-100 มคก./ลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีมาตรการกำจัดแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น ใช้กฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายจราจร แต่ถ้าเกิน 100 มคก./ลบ.ม. รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข
ส่วนประเด็นผลกระทบต่อประชาชนนั้น ต้องให้แพทย์วินิจฉัยว่าค่าฝุ่นเท่าใด ถึงจะกระทบประชาชนในพื้นที่นั้น ทำให้มีปัญหาสุขภาพ และต้องใช้มาตรการยาแรงอย่างไร ซึ่งวันที่ 23 มกราคม จะประชุมแก้ปัญหาฝุ่น หาแนวทางที่ดีที่สุด ซึ่ง ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด แก้ที่ต้นเหตุ
เล็งแก้จราจรชี้ชัดทำค่าฝุ่นดีขึ้น
นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯกล่าวว่า การหยุดเรียน การลดการจราจรบนถนน เป็นการแก้ปัญหาฝุ่นระยะสั้นได้ ถือเป็นอีกมาตรการที่ช่วยได้มาก เพราะตัวเลขบ่งชี้ชัดเจนว่าปริมาณ pm 2.5 ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯนั้น 76% มาจากยานพาหนะบนท้องถนน ซึ่งหมายถึงรถทุกชนิด ส่วนกรณีมีนักวิชาการและแพทย์ระบุ แอพพลิเคชั่นของกรมควบคุมมลพิษใช้แจ้งตัวเลขค่าฝุ่น ไม่แสดงผลแบบเรียลไทม์นั้น เป็นการบ้านที่กรมควบคุมมลพิษต้องไปเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูล แต่ตนเชื่อว่าประชาชนตื่นตัวเรื่องคุณภาพอากาศ สุขภาพ เพราะหลายคนสวมหน้ากากอนามัย ทส.พยายามทำงานเต็มที่ ทั้งประสานข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประชุมวันที่ 23 มกราคม จะมีมาตรการชัดเจนออกมา เพราะเรื่องนี้นายกฯห้ความสนใจมาก แต่ละมาตรการที่จะออกมานายกฯ ให้คำนึงถึงข้อกังวลต่อประชาชนให้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ดังนั้น บางมาตรการที่ออกมาอาจกระทบประชาชนทำให้ไม่สะดวกบ้างก็ต้องขออภัย
ระดมนักวิชาการเคาะมาตรการเข้ม
วันเดียวกัน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม วันที่ 23 มกราคม เวลา 13.30 น.มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น ยังมีผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายองค์กรมาร่วมให้ข้อเสนอแนวทางแก้ปัญหาฝุ่น เพราะต้องการให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม อยากรับฟังความเห็นทุกฝ่ายก่อนออกมาเป็นมาตรการ เนื่องจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยย้ำในที่ประชุม ครม.ว่าต้องเป็นมาตรการที่ปฏิบัติได้จริง หลังประชุมเสร็จจะแถลงให้ทราบต่อไป สำหรับข้อเสนอเรื่องการทำงานเหลื่อมเวลานั้น ไม่มีอยู่ใน 12 มาตรการเร่งด่วนที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเสนอ แต่ในการประชุมกรรมการสิ่งแวดล้อม อาจไม่แน่ เพราะหากมีข้อเสนอใดๆเข้ามาจะได้หารือเพิ่มเติม เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุด
สภาฯหารือปัญหาฝุ่นพิษเป็นวาระด่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม มีส.ส.เสนอญัตติด่วนที่ไม่อยู่ในวาระการประชุม เรื่อง การศึกษาแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาฝุ่นที่มีผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างทั่วประเทศขณะนี้ โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เสนอให้มีการศึกษาแก้ปัญหาฝุ่นควันที่เกิดขึ้นทั่วประเทศขณะนี้อย่างยั่งยืน เพื่อนำผลศึกษาส่งต่อให้รัฐบาล และขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญมาพิจารณา ซึ่งสมาชิกฯ ในที่ประชุมต่างไม่มีใครคัดค้าน
จี้รบ.ยกเป็นวาระแห่งชาติต้องเร่งแก้ไข
นางพิชชารัตน์ เลาหพงษ์ชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐเสนอว่า ปัญหาฝุ่นเกินมาตรฐานเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ มีที่มาจากหลายสาเหตุ ทั้งการเผาในที่โล่ง เผาวัสดุการเกษตร ไฟป่า เป็นสาเหตุอันดับ 1 ประกอบกับได้รับผลกระทบจากการเผาจากต่างประเทศ การประกอบกิจการโรงโม่หินในบางจังหวัด รวมถึงกรุงเทพที่มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเกิดจากยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล การเผาในพื้นที่โล่ง โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และสภาพอากาศ เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน
ซึ่งนายจิรายุ อภิปรายเพิ่มเติมโดยย้ำว่า ประชาชนมีสิทธิในอากาศที่ดี ซึ่งฝ่ายค้านทั้ง 7 พรรค พยายามระดมความคิดเพื่อหาแนวทางช่วยรัฐบาลแก้ปัญหา โดยนำอุปกรณ์หลายรูปแบบที่จำเป็นต้องใช้เพื่อป้องกันฝุ่นละออง มาแสดงให้ที่ประชุมเห็นถึงภาระที่ประชาชนต้องจ่าย และยกตัวอย่างอากาศถนนหน้าอาคารรัฐสภา วัดปริมาณฝุ่ยได้ 91 มคก./ลบ.ม. เกินกว่า 80 มคก./ลบ.ม.ถือว่าอันตราย และเรียกร้องให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกทม.ร่วมกันแก้ไข
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี