แม่มณีปักหลักสู้
คดีตุ๋นเงินเหยื่อพันล้าน
นัดตรวจหลักฐาน9มี.ค.
‘บิ๊กป้อม’จ่อนั่งหัวโต๊ะ
ปราบแชร์ลูกโซ่-เงินกู้
ก๊วนแชร์แม่มณี ปักหลักสู้คดี ปฏิเสธโกงเงินลูกแชร์กว่าพันล้าน ผู้เสียหายกว่า 2 พันคน ศาลนัดตรวจหลักฐาน 9 มีนาคม ขณะที่ คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี มีมติ
ร่างโครงสร้างพนักงานสอบสวนคดีแชร์ลูกโซ่ เงินกู้นอกระบบ ดัน“บิ๊กป้อม”เป็นประธานปราบโกง เชื่อคดีแชร์แม่มณีกว่าเหยื่อจะได้รับเงินคืน ต้องกินเวลานานกว่า 14 ปี
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 27 มกราคม ที่ห้องเวรชี้ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย คดีแชร์แม่มณี หมายเลขดำ อ.167/63 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.วันทนีย์ หรือเดียร์ ทิพย์ประเวช อายุ30 ปี ชาวจ.อุดรธานี เจ้าของวงแชร์ “แม่มณี”, นายเมธี หรือบอส ชิณภา อายุ 20 ปี ชาว จ.อุดรธานี แฟนหนุ่มของ น.ส.วันทนีย์, นายปิยะ หรือเป้ คีรีสุวรรณกุล อายุ 22ปี ชาวจ.อุดรธานี, น.ส.พรสวรรค์ หรือฝ้าย ภูอินอ้อย อายุ20 ปีชาวจ.อุดรธานี, น.ส.ธวัลรัตน์ ทิพย์ประเวช อายุ 58 ปี ชาวจ.อุดรธานี มารดา น.ส.วันทนีย์, น.ส.วิไลวรรณ หรือมิ้น หงษ์ประชาทรัพย์ อายุ 26 ปี ชาวจ.อุดรธานี น.ส.นิตยา หรือโบว์ พินนอก อายุ 28 ปี ชาวจ.ชัยภูม, นายบริภัทร เข็มรัตน์ อายุ 23 ปี ชาวจ.อุดรธานี และนายปิยะเศรษฐ์ ธิโสภา อายุ 24 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,91,341 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527มาตรา3,4,5 11/1,12 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงพ.ศ.2527,พ.ศ.2534มาตรา345 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง(ฉบับที่2)พ.ศ.2545 มาตรา 3,4,5 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 มาตรา14และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา8
คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 มี.ค. - 30 ต.ค. 2562 จำเลยที่ 1, 4 ได้โพสต์เฟซบุ๊กประกาศให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมออมเงินหรือร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1, 4 กับพวก โดยจะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษ ซึ่งมีแผนการตลาดหรือรูปแบบการลงทุนจัดแบ่งออกเป็นวงแชร์จำนวนการลงทุนวงละ 1,000 บาท จะได้รับผลตอบแทน 930 บาท ต่อหนึ่งวง เมื่อครบกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ลงทุนหรือวันที่ฝากเงินมายังบัญชีที่พวกจำเลยแจ้ง โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินที่ลงทุนพร้อมผลตอบแทนกลับไปจำนวนวงแชร์ละ 1,930 บาท
ต่อจำเลยที่ 1, 4 กับพวก ได้เปลี่ยนเป็นการลงทุนระยะสั้นดังนี้ โดยลงทุน 400 บาท ได้รับผลตอบแทน 100 บาท เมื่อครบกำหนด 7 วัน โดยจะได้รับคืนเป็นเงิน 500 บาท, ลงทุน 400 บาท ได้รับผลตอบแทน 150 บาท เมื่อครบกำหนด 12 วัน จะได้รับคืนเป็นเงิน 500 บาท, ลงทุน 150 บาท ได้รับผลตอบแทน 150 บาท เมื่อครบกำหนด 12 วัน จะได้รับคืนเป็นเงิน300 บาท, ลงทุน 150 บาท ได้รับผลตอบแทน 150 บาท เมื่อครบกำหนด 13 วันจะได้รับคืนเป็นเงิน 300 บาท
โดยข้อความดังกล่าวล้วนเป็นความเท็จ เพราะความจริงแล้วจำเลยที่ 1, 4 กับพวก ไม่ได้จัดให้มีการออมเงินหรือร่วมลงทุนโดยได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติดังกล่าวแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นอุบายให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวงเท่านั้น โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายรวม 2,533 ราย
ภายหลังจำเลยที่ 1, 4 ได้ร่วมกันกระทำความผิดแล้ว จำเลยทั้ง9คนได้บังอาจร่วมกันฉ้อโกงหลอกลวงประชาชนทั่วไป ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงฯ และร่วมกันหลอกลวงประชาชนโดยโฆษณาหรือประกาศฯ ให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมออมเงินหรือร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งหมด จะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษดังกล่าว โดยแผนการตลาดหรือการลงทุนแต่ละแผนนั้น จำเลยทั้งหมดจะจ่ายหรืออาจจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ ตามพฤติการณ์แห่งการกู้ยืมเงินแก่ผู้ร่วมลงทุนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้
อีกทั้งพวกจำเลยที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สามารถประกอบกิจการใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าวพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้จ่ายเงินให้กับจำเลยทั้งเก้าไปตามจำนวนเงินของผู้เสียหายแต่ละราย รวมทั้งสิ้น 1,376,215,359.74 บาท
โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดและให้พวกจำเลยทั้งเก้าชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายทั้ง 2533 ราย รวม1,376,215,359.74บาทด้วย
วันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวจำเลยทั้งหมดจากเรือนจำมาสอบคำให้การ โดยศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้พวกจำเลยฟังจนเข้าใจและสอบถามว่า จะรับสารภาพหรือปฏิเสธ ปรากฏว่า จำเลยทั้งหมด ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐาน ทั้งสองฝ่าย วันที่ 9 มีนาคมนี้ เวลา13.30น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา ที่ทำเนียบรัฐบาล ในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2563 ได้มีมติออกร่างโครงสร้างคณะพนักงานสอบสวน คดีกระทำผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ และการเงินนอกระบบ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ที่ประชุมยังมีการแต่งตั้งให้ข้าราชการระดับสูงกว่า 10 นาย เป็นคณะทำงาน โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน พร้อมมอบหมายให้ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กับผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเลขานุการ
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงาน ระบุว่า คดีฉ้อโกงประชาชนลักษณะแชร์ลูกโซ่ ขณะนี้มีหลากหลายรูปแบบ ส่งผลให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก อีกทั้งการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าว ยังไม่มีหน่วยงานไหนเป็นผู้รับผิดชอบอย่างจริงจัง ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติร่างโครงสร้างคณะพนักงานสอบสวน คดีกระทำผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ และการเงินนอกระบบ โดยจะนำยื่นเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาต่อไป
“ในปัจจุบันมีการกระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ และการเงินนอกระบบจำนวนมาก เป็นเหตุให้มีผู้เสียหายหลายราย โดยกว่าจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ต้องใช้ระยะเวลานาน ยกตัวอย่างคดีแชร์แม่มณีที่เป็นข่าวโด่งดัง ส่วนตัวเชื่อว่าต้องใช้เวลานานกว่า 13 – 14 ปี ผู้เสียหายถึงจะได้รับเงินคืน และถึงแม้ได้รับเงินคืนก็จะได้ไม่เท่าความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี