29 ม.ค.63 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการประชุมสัมนา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั่วประเทศ ครั้งที่ 1/2563 ที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซ กรุงเทพฯ โดยมี นายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา - มัธยมศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
นายณัฏฐพล กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาพบทุท่านเป็นครั้งแรกในปี 2563 ก็ขอชี้แจงถึงแนวทางการทำงานของกระทรวงศึกษาฯ เพื่อให้ทุกคนสบายใจและทำงานตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้วางไว้ โดยตนได้นำมาสานต่อผ่านผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) นับเป็นโอกาสดีที่จะได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันวันนี้ และในอนาคตจะมีเทคโนโลยีมาใช้สื่อสารไ้ด้สองทาง เกือบ 6 เดือนที่ผ่านมาตนได้รับทราบประเด็นต่างๆ และมั่นใจว่าถ้าทุกคนใน ศธ.เดินไปในแนวทางเดียวกันตามนโยบาย จะสามารถต่อยอด พัฒนา ปฏิรูปการศึกษาการศึกษาไทยได้ เพราะเห็นถึงความสามารถของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความพร้อมเพียงแต่ยังไม่มีความเข้าใจการเชื่อมโยง การจะทำอะไรต้องยืนอยู่บนพื้นฐานที่จะทำให้เด็กและเยาวชนของเราสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
วันนี้เราทุกคนต้องยอมรับว่าเด็กไทยมีความสามารถ มีสมอง เหมือนคนอื่นๆ แต่อาจจะขาดในบางเรื่อง ดังนั้น เราต้องผสมผสานบางอย่างเข้าไปให้ตามความสามารถและความตั้งใจที่เด็กมี วันนนี้ถ้าเราทำทุกอย่างเหมือนเดิม เราไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้แน่นอน แม้แต่เอาตัวรอดในเวทีโลกก็ยังไม่มั่นใจ ถ้าเรายังมองไม่เห็นสิ่งดีๆแล้วต่อยอด และปรับปรุงในสิ่งที่ต้องแก้ไข บางคนอาจจะคิดว่ามีเวลาอีกไม่นาน ซึ่งตนก็มีเวลาอีกไม่นาน แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน คนที่จะแบกรับพาระเราคือ เด็กอนุบาลในขณะนี้ที่จะเติบโตขึ้นมา แต่มีจำนวนน้อยลงไปเลื่อยๆเป็นเรื่องที่น่ากังวล
นายณัฏฐพล กล่าวว่า จากที่ได้รับเชิญไปดูงานที่ประเทศจีน พบว่าจีนพัฒนาการศึกษาด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปไกลมาก และเชื่อว่าอีกหลาย ๆประเทศก็ใช้ปัญญาประดิษฐ์พัฒนาการศึกษาเช่นกัน ดังนั้น ถ้าไทยยังฝืนและบอกว่าไม่อยากใช้เทคโนโลยีคงไม่ได้แล้ว ซึ่งจีนมีนักเรียนในระบบ 100 ล้านคน ใช้ระบบการเรียนแบบสมาร์ทคลาสรูม หรือห้องเรียนอัจฉริยะ และ 98% ของโรงเรียนทั่วประเทศจีน มีอินเตอร์เน็ตใช้ ทำให้ครูสามารถเห็นเด็กที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอนได้ เพราะระบบ AI จะประมวลผลให้ครู ทำให้ครูสามารถกระตุ้นเด็กให้เด็กตั้งใจเรียนได้
“ดังนั้น ถ้าไม่ผิดพลาดอะไร เดือนพฤษภาคม นี้ 95% ของโรงเรียนในประเทศไทยน่าจะมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง มีคุณภาพที่ได้ตรฐานไปยังห้องเรียน จะช่วยให้ขบวนการเรียนการสอนง่ายขึ้น และวางแผนว่าในปี 2564-2565 จะให้นักเรียนมีแลบท็อบใช้ในราคาเรื่องละประมาณ 6 - 7 พันบาท แต่นายกฯถามผมว่า แล้วครูพร้อมหรือยัง เพราะฉะนั้นครูต้องปรับตัวเองให้สามารถใช้ระบบเทคโนโลยีได้ ไม่เช่นนั้นจะตามไม่ทันเพราะเด็กเขาเริ่มแล้ว ฉะนั้น จึงขอให้เรามาช่วยกันผลักดันขบวนการนี้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ ไม่รู้ว่าเราจะยืนอยู่จุดไหนของโลก ที่ผ่านมาผมเห็นถึงความตั้งใจของหลายๆหน่วยงาน ความตั้งใจของครู นักเรียน และผู้บริหารเขตพื้นที่มีเต็มร้อย อาจจะมีความกังวลเรื่องโน้นนี่บ้างก็ขอให้มาพูดคุยกัน ผมให้ความมั่นใจว่า สิ่งใดที่ผมยังไม่ทราบ ยังไม่ได้ตัดสินใจ ผมก็จะพูดความจริง จะไม่มีธงว่าต้องทำนั่นนี่ จนกระทั้งได้พูดคุยกัน แต่เมื่อพูดคุยกันแล้ว ท่านก็ต้องยอมรับในระบอบประชาธิประไตย เดินไปในทางเดียวกัน หรือหากคิดว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นเราก็ต้องเดินหน้า แต่ถ้าทุกคนในห้องนี้บอกว่าเทคโนโลยีไม่จำเป็น ต้องทำแบบเดิม ผมก็ต้องยอม แต่ผมคงไม่ทำต่อ เพราะไม่ตรงกับแนวทางที่ท่านนายกฯวางแนวทางไว้” รมว.ศธ. กล่าว
รมว.ศธ. กล่าวว่า ช่วงเช้าตนได้ไปร่วมงานสภานักเรียนระดับประเทศไทย ประจำปี 2563 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เดินทางมาพบปะกับสภานักเรียนด้วย โดยสภานักเรียนได้ประกาศเจตนารมย์ 4 เรื่อง -การส่งเสริมให้นักเรียนไทยเลิกใช้ถุงพลาสติก - การส่งเสริมการมีจิตอาสา เพื่อสร้างสังคมแห่งความสุข -การส่งเสริมให้เด็กไทยรู้ทัน ก่อนแบ่งปันข่าวปลอม (fake news) -การส่งเสริมแนวทางการป้องกัน การถูกข่มเหง (Bully)
ซึ่งเรื่องการเลิกใชถุงพลติก ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี และน่าสนับสนุน ในวันนี้ท่านนายกฯก็ให้การบสนุนให้หาวิธีการคัดแยกขยะ งดใช้ถุงพลาสติกในโรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ส่วนบวนการที่จะทำนั้น เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องไปบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อให้ขบวนการนี้เกิดขึ้น
เพราะถ้าไม่ทำสภาวะแวดล้อม หรือปัญหาโลกร้อนจะรุมเร้าประเทศไทย และเป็นปัญหาสังคม หากทุกโรงเรียนทำ เทศบาลและภาคเอกชนกลุ่มต่างๆพร้อมจะเข้ามาร่วมกับกระทรวงศึกษาในการสร้างกลไกลทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นนโยบาย เพราท่านนายกฯสั่งการแล้ว
ส่วนเรื่องการนำจิตอาสามาขยายผลในวงกว้างให้โรงเรียน โดยไม่บังคับ ใครชอบหรือถนัดอะไรก็ไปทำ เช่น ไปดูแลช้วยเหลือคนพิการ ผู้สูงอายุ รวมถึงการส่งเสริมให้เด็กไทยรู้ทันมีความเข้าใจ และนำไปขยายผลอย่างถูกต้องในเรื่องข่าวปลอม หรือ fake news โดยเฉพาะข่าวที่ประเทศอื่นไปรับคนออกจากประเทศจีนแล้ว ซึ่งเป็นข่าวปลอม เพราะยังไม่มีประเทศใดเข้าไปรับคนออกมาเลย วันนี้พึ่งจะมีการพูดคุยกัน และทางสภานักเรียนก็มีความเข้าใจ เพราะประเทศไทยมีความสามารถควบคุมโรคได้เป็นอันดับ 6 ของโลก เรายังมีความกังวล แต่ก็ต้องให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลไทยสามารถดำเนินการเรื่องต่างๆได้
ในขณะเรื่องการส่งเสริมแนวทางการป้องกัน การถูกข่มเหง (Bully) ก็ต้องหาทางแก้ไข เพราะไม่ใช่มีแคเด็ก Bully กันในโรงเรียน แต่เด็กมีการ Bullyทางสื่อโซเชียลมีเดียด้วย ดังนั้น ก็ต้องมาดูกันว่ามีปัญหาอะไร และเราสามารถลดปัญหาอะไรไปได้บ้าง
“ทั้งหมดที่สภานักเรียนเสนอมานี้ เป็นองค์ประกอบของจิ๊กซอที่เราจะต้องนำมาประกอบกัน ไม่มีเรื่องไหนใหญ่กว่ากัน หลายๆคนกังวลเรื่องโครงสร้างกระทรวงศึกษาฯ ผมบอกได้เลยว่าเรื่องนี้อยู่ปลายๆในความคิด แต่ก็ต้องนำมาพิจารณา รวมถึงเรื่องวิทยฐานะที่มีคนมาร้อง ก็ต้องหาวิธีปลดล็อค รายได้ของครูอัตราจ้าง จ้างเหมาบริการ ภารโรง ครูธุรการ ทุกเรื่องจะต้องแก้ไข ผมไม่ได้ปล่อยให้รัฐมนตรีคนใหม่มาแก้ รวมถึงเรื่องหนี้บัตรเครดิต หนี้สินครู ซึ่งในเดื่อน พ.ค.นี้ชัดเจนแน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับครู และการขับเคลื่อนการศึกษาหลักสูตรเป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องแก้ไข เพื่อใช้ในปี 2565 แต่ในเดือน พ.ค. 2564 จะทดลองใช้ และใช้จริงปี 2565 “
นายณัฏฐพล กล่าวอีกว่า จะมีการเปิดเวทีรับฟังเกี่ยวกับการปรับหลักสูตรว่า ผอ.เขตพื้นที่ฯ ผอ.โรงเรียน ครูมีความคิดเห็นอย่างไร ส่วน พ.ร.บ.การศึกษา ภายในสิ่นเดือน ม.ค. - ก.พ.นี้ ตนตะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีการพิจารณาแน่นอน ส่วนเรื่องที่คนกังวลมากและมีความขัดแย้ง ตนตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้ว เนื่องจากขบวนการที่ไม่เห็นด้วยตรงกับความคิดตน รวมถึงการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กจะต้องมีความยืดหยุ่นและอยูบนข้อเท็จจริง เหมาะสมยุติธรรมในเหตุในผลและในหลักความจริง
นายณัฏฐพล กล่าวอีกว่า ศธ.กำลังจะพัฒนาภาษาอังกฤษ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ประเทศไทยส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่เด็กเราภาษาจีน ภาษาอังกฤษยังไม่เก่ง ตนไปดูโรงเรียนจุฬาภรณ์ฯ ที่เป็นเด็กท็อปๆของประทศแต่ภาษาอังกฤษยังต้องพัฒนา โรงเรียนหนึ่งมีนักเรียน 720 คน มีครูฝรั่งสอนอยู่ 2 คน ซึ่งต้องเพิ่มงบฯเข้าไป และตนมองว่าอากจะเพิ่มนักเรียนเป็น 1 พันคน เพราะดูจากงบลงทุนแล้วยังไม่มีประสิทธิภาพ แต่คุณภาพมี ดังนั้น ผู้บริหารต้องกล้าเสนอแนะ และตนจะดูว่าจะบริหารอย่างไร เพราะมีผู้เสนอว่าให้มีโรงเรียนจุฬาภรณ์ฯในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ดังนั้นจะหารือกับผู้บริหารโรงเรียนจุฬาภรณ์ฯก่อนตัดสินใจ อาจจะเพิ่มจำนวนนักเรียน ซึ่งน่าจะเป็นทางออกในการลงทุน มากกว่ามีโรงเรียนจุฬาภรณ์ฯทุกจังหวัด อย่างไรก็ตาม สำหรับกระจายครูสอนภาษาเข้าไปทุกโรงเรียนทั่วประเทศ จากการสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเพิ่มประมาณ 1 หมื่นคน แต่ตนคิดว่าน่าจะประมาณ 2.8 หมื่นคน เพราะเราคงรอคนที่กำลังเรียนเอกภาษาอังกฤษจบมาเป็นครูไม่ทัน แต่หลังจากนี้ 3 ปี เมื่อครูเอกภาษาอังกฤษของเราเรียนจบหลักสูตรที่กระทรวงอุดมศึกษาฯปรับเข้มข้นแล้ว การจ้างครูชาวต่างชาติ 1- 2.8 หมื่นคน ก็ต้องลดลงไป
รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ตนไม่ได้ดัดจริตให้ทุกคนต้องพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งป๋อ แต่เป็นพื้นฐานที่ครูต้องใช้ภาษาอังกฤษหาข้อมูล และใช้เทคโนโลยีในการสอนเด็กได้ เพราะถ้าครูสอนเด็กไม่เก่งแล้วประเทศเราจะเก่งได้อย่างไร ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนเห็นแนวทางการพัฒนาตรงนี้ เพราะมีความจำเป็นในการสร้างเด็กในอนาคตที่จะมาดูแลประเทศ และหากทุกคนกล้าคิด ตนก็กล้าเสนองบฯมาดำเนินการตามแผน
“อยากให้ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาทั่ประเทศ ทุกเขต ทำงานอย่างเข้มข้น มีประสิทธิภาพ กล้าที่จะคิดนอกกรอบท นำเสนอแผนต่างๆที่คุ้มค้าในการลงทุนและตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ เพื่อให้การพัฒนาการศึกษาไทยเดินหน้า ผมเข้าใจข้อจำกัด ไม่ว่าจะเรื่องงบประมาณ ภูมิศาสตร์ต่าง ๆ แต่ ผอ.เขตพื้นที่ ทราบดีและนำเสนอได้ว่าความเหมาะสมเพื่อการพัฒนาการศึกษาไทยตามนโยบายของรัฐบาลควรจะเป็นอย่างไร เราอาจจะใช้โอกาสภายใน 1 - 2 ปีนี้ยกระดับคุณภาพการศึกษา ผมยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่มีความจำเป็น ถ้าหากเราทยอยทำอาจจะใช้เวลามากเกินไป บนโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างณวดเร็วทำให้เราต้องหาที่ยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้น หากภายใน 1-2 ปีนี้เราสามารถวางรากฐานการศึกษาไทยให้เข้มแข็งได้ ยกระดับต่อยอดการพัฒนาทั้งประเทศ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนควรสนับสนุน แต่คนที่จะผลักดันได้ก็คือคนในเขตพื้นที่การศึกษา” รมว.ศธ. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี