คนละไม่เกิน10ชิ้น
สธ.จำกัดซื้อหน้ากากอนามัย
กักตุนคุก7ปี-ปรับ1.4แสน
นายกฯสั่งแจก4.5หมื่นชิ้น
สธ.ถกร่วมกรมการค้าภายใน-อย.-ผู้ผลิต หารือแนวทางบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ยันมีเพียงพอ ขอประชาชนอย่ากักตุนชี้มีโทษหนักจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท พาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ค้าออกมาตรการห้ามซื้อเกิน 10 ชิ้นต่อคน “บิ๊กตู่”สั่งแจกจ่ายหน้ากากอนามัย 18 จุดทั่วกรุง 4.5 หมื่นชิ้น เข้ม ก.พาณิชย์ ปราบผู้ฉวยโอกาสขึ้นราคา-กักตุนสินค้า
เมื่อวันที่ 6กุมภาพันธ์ ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ องค์การเภสัชกรรม และบริษัทผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทั่วประเทศ เพื่อหารือถึงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศไทย ในช่วงที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
นพ.สุขุม กล่าวภายหลังการประชุมว่า จากการหารือร่วมกันกับผู้ผลิตหน้ากากอนามัย มีการเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ และมีการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประชาชนในระยะนี้ เพียง ขอเพียงแค่ประชาชนอย่ากักตุนหน้ากากอนามัยไว้กับตัวจำนวนมาก เพราะส่วนหนึ่งก็มีอายุการใช้งาน แล้วที่กักตุนไว้ก็ไม่รู้ว่ามีมาตรฐานในการเก็บรักษาอย่างไร ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเองก็ได้พยายามรณรงค์ให้บุคลากรหันมาให้หน้ากากผ้าในส่วนงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการสัมผัสโรค เช่นไม่ คนที่ทำงานออฟฟิศ ไม่ได้อยู่ในห้องผ้าตัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดปริมาณการใช้หน้ากากอนามัยชนิดกระดาษได้ประมาณ 2 แสนชิ้น
จำกัดโควตาซื้อคนละ10ชิ้น
ด้าน นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะที่ได้มีการออกกฎหมายให้หน้ากากอนามัย และเจลล้างมือเป็นสินค้าควบคุม จึงห้ามกักตุนหน้ากากอนามัยไว้ ห้ามส่งออกนอกประเทศ หากจะส่งต้องขออนุญาตส่ง รวมถึงมีการจำกัดโควตาการซื้อของประชาชนไม่เกินคนละ 10 ชิ้น ต่อครั้ง ตอนนี้เราได้สั่งการให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก นำเข้า หน้ากากอนามัยต้องรายงานสินค้าที่มีอยู่มาให้กรมการค้าภายในทราบภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ แต่ในทางปฏิบัติ ทางกรมเองก็ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบในเชิงลึกด้วย หากใครมีการกักตุนสินค้าเอาไว้จะมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้หากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติก็จะเลิกมาตรการจำกัดการซื้อ
ส่งออกเกิน500ชิ้นต้องขออนุญาตก่อน
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ได้ขอความร่วมมือให้ผู้ค้าจำกัดการซื้อหน้ากากอนามัยของประชาชน โดยจำกัดปริมาณการซื้อไม่เกินคนละ 10 ชิ้น ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม การจำกัดการซื้อดังกล่าว ยังไม่ครอบคลุมร้านขายยา และร้านค้าทั่วไป แต่ถ้าการขอความร่วมมือยังไม่สามารถทำให้สินค้ากระจายได้อย่างทั่วถึง กรมจะใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ออกมาตรการบังคับให้ห้างจำกัดการขายต่อไป
นายวิชัย กล่าวว่า ผู้ที่จะส่งออกหน้ากากอนามัยเพื่อการค้าหรือไม่ก็ตาม ตั้งแต่ 500 ชิ้นขึ้นไป จะต้องขออนุญาตก่อน เริ่มขออนุญาตได้ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป และกรมจะขอความร่วมมือกรมศุลกากร หากไม่มีหนังสืออนุญาตจากกรม ห้ามให้ส่งออกโดยเด็ดขาด พร้อมกันนั้น กรมจะนำไปกระจายผ่านร้านธงฟ้า ที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 120,000 ร้านด้วย
ปชช.ร้องเรียนหาซื้อไม่ได้-ขายแพง
นายวิชัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้ มีประชาชนจำนวนมากถึง 1,022 ราย ได้ร้องเรียนเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยมายังกรมผ่านสายด่วนโทร.1569 โดย 769 รายร้องเรียนว่าไม่สามารถหาซื้อได้ อีก 220 รายแจ้งว่าราคาแพงจากที่เคยซื้อปกติ ส่วนที่เหลือเป็นการร้องเรียนไม่ปิดป้ายแสดงราคา หรือขายราคาไม่ตรงกับป้ายแสดงราคา เป็นต้น ซึ่งกรมได้ทยอยตรวจสอบแล้ว นอกจากนี้ ยังได้ส่งสายตรวจเฉพาะกิจ 10 สายไปตรวจสอบสถานการณ์จำหน่ายหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนในต่างจังหวัด สำนักงานพาณิชย์ ได้ตรวจสอบด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากประชาชนไม่สามารถหาซื้อได้ หรือซื้อราคาแพง แจ้งได้ที่สายด่วน 1569
เจลล้างมือไร้ปัญหาขาดแคลน
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมฯได้เพิ่มกำลังการผลิตเจลล้างมือแอลกอฮอล์มีทั้งชนิดใสขนาด 60 มิลลิลิตร สามารถผลิตได้ 7 แสนขวดต่อวัน ส่วนขนาด 450 มิลลิลิตร ผลิตได้วันละ 9 แสนขวดส่วนชนิดสเปรย์มีในสต็อกเป็นล้านขวด ทั้งนี้เรื่องเจลล้างมือไม่น่าจะมีปัญหา เพราะองค์การสุราก็สามารถผลิตแอลกอฮอล์ทำความสะอาดได้วันละ 60ตัน
ห้างตอบรับขายไม่เกินคนละ10ชิ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทางห้างสรรพสินค้าต่างพร้อมใจกันสนองนโยบายรัฐบาลจำกัดการขายหน้ากากอนามัยคนละไม่เกิน 10 ชิ้น โดยทาง บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัดการจำหน่ายสินค้าหน้ากากอนามัย ไม่เกิน 2 แพ็ค แต่ไม่เกิน 10 ชิ้น/ลูกค้า1 ราย ขณะที่ เทสโก้ โลตัส ก็พร้อมที่จะตอบสนองตามนโยบายภาครัฐ และยังได้มีการติดป้ายบอกลูกค้าว่าซื้อได้ไม่เกินคนละ 10 ชิ้น ทั้งในร้านขายยา โตร์ และสาขาขนาดเล็ก ส่วนห้างโรบินสัน ในช่วงวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ จะมีสินค้าลอตแรกเข้าจำหน่าย พร้อมกับมีสื่อประชาสัมพันธ์ให้รับทราบข้อจำจัดซื้อได้คนละไม่เกิน 3 แพ็คเท่านั้น
แห่ซื้อหน้ากากอนามัยองค์การเภสัช
บรรยากาศที่ร้านขายยาองค์การเภสัชกรรมสาขากระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ได้มีการติดป้ายประกาศแจ้งว่าวันนี้ได้มีการจำหน่ายสีเขียวซองละ 10 ชิ้นในราคา 10 บาทซึ่งขายให้เพียงคนละ 1 ซองเท่านั้นโดยแบ่งออกเป็น 3 รอบคือ รอบ 08.00 น.จำนวน 100 ซองรอบ 11.00 น จำนวน 200 ซอง และรอบ 3 14.00 น. จำนวน 200 ซอง ทั้งนี้ ได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่ารายละเอียดของประกาศจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เหมาะสมในแต่ละวัน โดยตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงช่วงพักเที่ยงมีประชาชนมซื้อหน้ากากอนามัยไปแล้วจำนวน 820 คน
ทบ.แจกหน้ากากอนามัย4.5หมื่นชิ้น
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาและฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ประเทศไทย กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสุขภาพของประชาชน มีบัญชาให้เหล่าทัพ ช่วยดูแลประชาชน โดยให้หน่วยแพทย์ทหารทุกเหล่าทัพดำเนินการรณรงค์ให้คำแนะนำ รวมทั้งแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้ กรมแพทย์ทหารบก ส่งชุดรณรงค์ป้องกัน นำหน้ากากอนามัย จำนวน 45,000 ชิ้น กระจายแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ทุกวัน ระหว่าง 6-7-8 กุมภาพันธ์ 2563 ในพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนใช้สัญจรหนาแน่น อาทิ สถานีรถไฟฟ้า ตลาด สถานีขนส่ง เป็นต้น รวมทั้งการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโคโรนาไวรัสรวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วย
ผบ.ทอ.นำคณะแจกหน้ากากอนามัย
พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในนามกองทัพอากาศ และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ นำหน้ากากอนามัยที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมแพทย์ทหารอากาศจำนวน 1,000 ชิ้น มาแจกจ่ายให้ประชาชนที่มาใช้บริการ ณ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช รวมถึงผู้ค้า รวมถึงประชาชนที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า บิ๊กซี สาขาสะพานใหม่ และในตลาดยิ่งเจริญ(สะพานใหม่)
รบ.แจกหน้ากากอนามัย18จุดทั่วกรุง
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ห่วงใยสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยเน้นการป้องกันตนเองเป็นสำคัญ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องจัดหาหน้ากากอนามัยและแจกจ่ายให้กับประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เช่น จังหวัดใหญ่ ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยในส่วนของกระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้กรมแพทย์ทหารบก รพ.พระมงกุฎเกล้า วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก จัดกำลังพลออกแจกจ่ายหน้ากากอนามัย เริ่มต้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีประชาชนและนักท่องเที่ยวหนาแน่น ตั้งแต่ 6–8 กุมภาพันธ์ กระจายไป 18 จุด จุดละ 2,500 ชิ้น รวม 45,000 ชิ้น
โดยการแจกมีรายละเอียดดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ ช่วงเช้า 07.00-09.00 น. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีรถไฟฟ้า BTS อนุสาวรีย์ชัย รร.สันติราษฎร์ฯ ช่วงบ่าย 15.00-17.00 น. ที่ตลาดประตูน้ำ สถานี BTS อารีย์ ถนนสีลม วันศุกร์ที่ 7 ก.พ. ช่วงเช้า 07.00-09.00 น. ที่ รร.สวนมิสกวัน สถานี BTS พญาไท สะพานควาย ช่วงบ่าย 15.00-17.00 น. ห้างมาบุญครอง ตลาดประตูน้ำ และสวนสันติภาพ และวันเสาร์ที่ 8 ก.พ. ช่วงเช้า 08.00 -10.00 น. ที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ตลาดนัดจตุจักร และตลาดราชวัตร และช่วงบ่าย 15.00-17.00 น. ห้างเซ็นทรัลเวิลด์สยามสแควร์ ตลาดศรีย่าน
กำชับเข้มงวดป้องกันฉวยขึ้นราคา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เข้มงวดกวดขันเรื่องปัญหาการฉวยโอกาสขึ้นราคาและกักตุนหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ เนื่องจากได้รับแจ้งจากประชาชนจำนวนมาก และสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมาย โดยหากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดทั้งในท้องตลาดทั่วไปและตลาดออนไลน์ ให้แจ้งได้ที่กรมการค้าภายใน หรือสายด่วน 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี