เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาวะวิกฤติซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ได้เชิญนาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา มาเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศโลก โดยท่านได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นอย่างมาก เป็นข้อมูลที่เข้าใจง่ายและมีความเที่ยงตรงหลายประการ แต่ที่ผมจำได้แม่นคือการเปลี่ยนแปลงกับการผันแปรของสภาพภูมิอากาศ จะเกิดได้ตลอดเวลาในสภาพอากาศของโลกที่เป็นอยู่ ในอนาคตอันใกล้นี้ สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ฤดูแล้งของไทยจะยาวนานมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้ฤดูแล้งจะยาวออกไปอีก คาดว่าฤดูฝนจะอยู่ประมาณเดือนมิถุนายน สำหรับฝนที่ตกในเดือนมีนาคม – เมษายน นี้ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าหลังสงกรานต์จะต้องมีฝนตกทุกปี ทำให้เกษตรกรบางส่วนได้มีการไถพรวนเตรียมแปลงปลูกไว้ล่วงหน้า หวังว่าพอฝนตกหลังสงกรานต์พืชผลที่หว่านหรือปลูกไว้จะเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับปีนี้ท่านอธิบดีได้ยืนยันว่า ปีนี้ฝนจะมาช้ากว่าทุกปี หากจะมีฝนตก ลักษณะจะเป็นฝนตกเป็นหย่อมๆ ไม่กระทบทั่วถึงกัน อย่างไรเสียปีนี้คงต้องเตรียมการกันให้ดี
ข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลสำคัญที่ส่งผลต่อการวางแผนการทำการเกษตรของพี่น้องเกษตรกร หากจะคงมีพฤติกรรมในการทำการเกษตรแบบเดิมๆ คือ หลังสงกรานต์ไถหว่านรอฝน ก็จะสามารถคาดการณ์ได้ว่า โอกาสที่จะสูญเสียสูงมาก ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน การสัมมนาครั้งนี้ มีผู้แทนเกษตรกรท่านหนึ่ง เป็นผู้นำของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนได้ให้ความเห็นว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรมาก หากเกษตรกรมีโอกาสได้รับรู้ จะทำให้ไม่ต้องสูญเสียเงินทุนที่จะลงไป โดยทางกรมอุตุนิยมวิทยาเองได้ทำการสื่อสารผ่านสื่อหลายทาง และได้ส่งผ่านข้อมูลเหล่านี้ไปยังทุกจังหวัดผ่านทางอุตุนิยมวิทยาจังหวัด แต่ด้วยช่องว่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ปัญหาของข้อมูลที่จะส่งไปถึงพี่น้องเกษตรกรยังมีช่องว่างระหว่างกันอยู่ คงต้องอาศัยความร่วมมือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกลไกอื่นๆ เพื่อส่งผ่านข้อมูลเหล่านี้ลงสู่เป้าหมายได้อย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงและผันแปรของอากาศ ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการทำการเกษตรของไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำการเกษตรที่เป็นหุ้นส่วนกับธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติไม่เป็นใจ ทุกอย่างที่คาดหวังไว้ก็จบลงได้ง่ายๆ ตัวอย่างหนึ่งซึ่งผมเคยนำเสนอหลายครั้ง คือ กรณีของลิ้นจี่แม่กลอง ที่เฝ้ารออุณหภูมิที่เหมาะสมมาหลายปีซึ่งพื้นที่ปลูกลิ้นจี่ในแม่กลองมีราว 7 พันไร่ช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาอากาศหนาวยาวนานเพียงพอที่จะกระตุ้นให้ลิ้นจี่แม่กลองออกดอก ชาวสวนลิ้นจี่แม่กลองเริ่มจะมีรอยยิ้ม และคาดหวังว่าปีนี้คงได้ผลผลิตออกมาจำหน่ายบ้าง ดูแลเอาใจใส่ต้นลิ้นจี่กันมากขึ้น หลังจากที่ดอกบาน และอยู่ระหว่างการผสมเกสร มีการนำผึ้งมาเลี้ยงในสวนลิ้นจี่เพื่อช่วยผสมเกสรอีกทาง แต่ด้วยความผันแปรของอากาศ ปรากฏมีน้ำค้างลงแรงมากในช่วงดอกบานและเมื่อความชื้นในอากาศสูงเป็นผลให้ชะล้างดอกลงมา ดอกจึงร่วงเกือบทั้งหมด ไม่สามารถผสมเกสรได้ทัน การรอคอยการออกดอกของลิ้นจี่มาถึง 4 ปีเต็ม จึงจบลงง่ายๆ ชาวสวนลิ้นจี่รายหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า มีต้นลิ้นจี่ทั้งหมด 60 ต้น ปีนี้ออกดอกทุกต้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นก้านธูปไปแล้ว ไม่ติดเลยสักต้น ยังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับลิ้นจี่ 60 ต้นที่มีอยู่
ผลของการเปลี่ยนแปลงและผันแปรของสภาพภูมิอากาศกระทบต่ออาชีพการเกษตรเป็นอย่างมาก การทำการเกษตรของบ้านเรายังคงต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวต่อไปอีก อาจจะนับได้ว่าเป็นปัญหาพื้นฐาน ยังไม่รวมถึงปัญหาอื่นๆ ของการประกอบอาชีพการเกษตรเช่น ปัญหาการตลาด ปัญหาต้นทุนการผลิต ปัญหาการเข้าถึงเทคโนโลยีและปัญหาเกษตรกรสูงวัย ความมั่นคงในอาชีพการเกษตร จึงยังเป็นประเด็นท้าทายให้ทุกฝ่ายร่วมกันขบคิดและฝ่าฟันไปพร้อมกัน การเปลี่ยนแปลง ผันแปร ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญกันต่อไป
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี