พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ.2559 ประเด็นต่อมาที่สำคัญและอยากจะพูดถึงก็คือ เกี่ยวกับการได้สิทธิพิเศษยกเว้นภาษีอากรของตัวองค์กร และบุคลากรของแอปเตอร์รวมถึงการยกเว้นอากรข้าวที่นำเข้าประเทศไทยเพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ของแอ้ปเตอร์
โดยทั่วไปแล้ว องค์กร สมาคม มูลนิธิต่างๆ ที่ถูกตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร และจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ตามกฎหมายไทยจะต้องมีการเสียภาษีประจำปีในประเภทของภาษีนิติบุคคล ดังนั้น การจัดตั้งสำนักเลขานุการแอปเตอร์ ซึ่งกฎหมายข้างต้นระบุให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลและมีภูมิลำเนาในประเทศไทย ก็ย่อมต้องมีหน้าที่เสียภาษีนิติบุคคลด้วย แม้ว่าแอปเตอร์จะมีวัตถุประสงค์การดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนเชิงมนุษยธรรมและอีกทั้งไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการแสวงหารายได้ก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือ เสียหรือไม่เสียภาษีอยู่ที่การวินิจฉัยตีความ ด้วยเหตุนี้ กฎหมายคุ้มครองแอปเตอร์จึงกำหนดไปในบทบัญญัติให้ชัดๆ ไปเสียเลยว่า ให้ยกเว้นภาษีสำหรับสำนักงานนี้ ก็จบไปที่ไม่ต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาอะไรกับทางสรรพากรเขา
อีกอันหนึ่งที่คณะผู้ร่างกฎหมายเขาเห็นและจำเป็นต้องระบุไว้ให้ชัด คือ เรื่องเกี่ยวเนื่องกับหัวใจการดำเนินงานของแอปเตอร์กล่าวคือ ในเมื่อแอปเตอร์เป็นหน่วยงานที่ต้องมีการนำข้าวบริโภคไปแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัย ดังนั้น จึงต้องมีการขนส่งข้าวเข้าออกประเทศไทยและอาจต้องมีการเก็บรักษาและส่งต่อไปยังประเทศเป้าหมายต่างๆ กรณีนี้กฎหมายข้างต้นยกเว้นให้สำนักงานแอปเตอร์ไม่ต้องชำระอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรหากมีการนำข้าวมาในประเทศไทย เรื่องนี้ ในทางที่เป็นจริงซึ่งแอปเตอร์ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันเกิดขึ้นน้อย เพราะข้าวที่บริจาคช่วยเหลือภัยธรรมชาติมักเดินทางหรือขนส่งจากประเทศผู้ให้ไปยังประเทศผู้รับโดยตรง ไม่ต้องมาแวะผ่านอะไรในเมืองไทย เว้นแต่กรณีที่ต้องไปช่วยเหลือประชาชนชาว สปป.ลาว ซึ่งในการขนส่งข้าวไปกรุงเวียงจันทน์ อาจต้องผ่านประเทศไทยอยู่บ้าง
แต่กระนั้นก็ตาม ผมขอเล่านิดว่า เรื่องเกี่ยวกับการกระบวนการทางศุลกากรนี้สำหรับประเทศผู้รับข้าวไปช่วยเหลือประชาชน ในช่วงแรกๆ ที่ผ่านมามีความยุ่งยากซับซ้อนพอสมควร กล่าวคือ ต้องมีเอกสารจำนวนมากและแต่ละขั้นตอนกินเวลาเยอะมาก แถมมีการขอหลักฐานโน่นนี่ไม่จบสิ้นชี้ให้เห็นถึงระบบราชการที่ค่อนข้างจะมีปัญหาเป็นเหมือนกันเกือบทุกประเทศ ทั้งๆ ที่ข้าวที่นำเข้าไปเป็นข้าวบริจาคฟรี และนำไปช่วยเหลือประชาชนในประเทศผู้ประสบความทุกข์ยากมีการบ่นกันเยอะในคณะมนตรีแอปเตอร์ว่าข้าวที่ส่งไปช่วยเหลือนั้น ใช้เวลานานกว่าจะถึงมือของชาวบ้านผู้ประสบภัย ถึงขั้นโทษการบริหารงานของฝ่ายเลขาฯ แต่ผลการศึกษาปรากฎว่าที่ล่าช้ามากส่วนสำคัญก็มาจากขั้นตอนทางศุลกากรนี่แหละครับ ซึ่งเราได้ทราบจุดอ่อนอันนี้อย่างดี และได้พยายามประสานงานกับหน่วยงานผู้รับ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้รับการแก้ไขและสามารถย่นระยะเวลาลงไปได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสำนักเลขานุการแอปเตอร์ผมการันตีเลยว่าเรื่องที่แช่อยู่ที่ฝ่ายเลขาฯรับรองไม่มีเกิน 1-2 วัน เพราะพวกสต๊าฟเราทำงานกันอย่างเต็มที่ ส่วนที่ช้านั้นมักอยู่ที่จุดอื่นที่เราควบคุมไม่ได้มากกว่า
อย่างไรก็ดี เมื่อหน่วยงานผู้มอบและผู้รับมีประสบการณ์มากขึ้น รู้จักขั้นตอนต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งมีความคุ้นชินกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรมากขึ้น ปัจจุบันระยะเวลาการช่วยเหลือจึงลดลงมาจากเดิมมากอย่างเห็นได้ชัดตัวอย่างเช่น ยุคก่อนเกิดภัยพิบัติในประเทศฟิลิปปินส์ กว่าจะได้รับข้าวสารไปช่วยเหลือประชาชน กินเวลาถึง 6-8 เดือน แต่ปัจจุบันล่าสุดที่เวียดนาม เราใช้เวลาเพียงประมาณ 3 เดือน ซึ่งรวมเวลาที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ได้แก่ (1) ประเทศประสบภัยทำเรื่องมาฝ่ายเลขาแอปเตอร์ (2) ฝ่ายเลขาฯแอปเตอร์ทำหนังสือเวียนประเทศสมาชิกเพื่อขอรับบริจาคข้าว (3) เจรจาระหว่างผู้ให้และผู้รับจนเข้าใจตรงกันทุกประเด็น (4) ฝ่ายเลขาทำเรื่องขออนุมัติดำเนินงานจากคณะมนตรีแอปเตอร์ พร้อมรอเวลาอนุมัติ (5) ฝ่ายเลขาฯทำ เอ็มโอยู ลงนามกันทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (5) ประเทศผู้ให้ทำการสีข้าว คัดแยก บรรจุถุง หาเรือ (6) ขนส่งไปจนถึงประเทศปลายทาง (7) ผ่านพิธีทางศุลกากรและกระบวนการภายในแต่ละประเทศ (8) ประสานงานกำหนดแผนแจกข้าว จนสุดท้ายคือแจกจ่ายข้าวถึงมือประชาชน ดังนี้ จะเห็นว่าระยะเวลาที่ใช้ไปก็สมเหตุสมผลอยู่นะครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี