“3 จังหวัดชายแดนใต้” อันประกอบด้วย “ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส” ภาพจากภายนอกที่มองเข้าไป ยังเป็น “พื้นที่สีแดง” จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ดำเนินมากว่าทศวรรษและยังไม่รู้จะสงบลงเมื่อใด และโครงการพัฒนาก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยง่าย ซึ่งนอกจากความกังวลด้านความปลอดภัยทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปในพื้นที่แล้ว ลักษณะภูมิศาสตร์ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ความเป็นพหุวัฒนธรรมยังกำหนดวิถีชีวิตของผู้คนที่มีลักษณะเฉพาะด้วย
สำหรับชาวปลายด้ามขวาน “เกษตรกรรม” คืออาชีพสำคัญโดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์ ดังที่ สุนีย์ ชุมนพรัตน์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแพะท่าน้ำเล่าว่า เริ่มก่อตั้งกลุ่มตั้งแต่ปี 2553 ขณะนั้นยังเป็นการเลี้ยงแบบตามมี ตามเกิด ยังไม่เป็นระบบเท่าไรนัก แม้จะมีเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์มาให้ความรู้ รวมถึงแนะนำให้ก่อตั้งกลุ่มเลี้ยงแพะ แต่ปัญหาสำคัญคือยังขาดเรื่องงบประมาณ
“บ้านสุเหร่า ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี” วิถีชีวิตของคนที่นี่ไม่ต่างจากชาว 3 จังหวัดชายแดนใต้ในส่วนอื่นๆ อาชีพหลักคือการรับจ้างกรีดาง และด้วยปัจจัยรายล้อม ทั้งเรื่องสภาพอากาศ ปัญหาเศรษฐกิจ หรือแม้แต่สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ รายได้จึงเพียงจุนเจือครอบครัวจึงไปได้แบบพ้นวันต่อวัน อย่างไรก็ตามชาวบ้านหลายหลังคาเรือนก็มี “การเลี้ยงแพะ”เป็นอาชีพเสริมควบคู่ไปด้วย
ต่อมาในปี 2559 ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระนำคณะทำงานของ “มูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ” มาศึกษาพื้นที่เพื่อหาแนวทางพัฒนาเกษตรกรรมในพื้นที่อย่างยั่งยืนตามแนวทาง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โดยเริ่มจากการสร้างฝายกั้นน้ำ เพื่อปรับปรุง พัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่ ต.ท่าน้ำ เนื่องจากการวางแผนระบบบริหารจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องวางรากฐาน เพื่อนำไปสู่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ในรูปแบบต่างๆ
ในครั้งนั้น สุนีย์ ซึ่งเป็นประธานกลุ่มเลี้ยงแพะในพื้นที่ จึงเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงแพะที่มีทั้งหมด ไปยื่นกับ ม.ร.ว.ดิศนัดดา และอีก 3 เดือนให้หลัง คณะทำงานของมูลนิธิปิดทองฯ ก็กลับมาอีกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลว่าทางกลุ่มมีหรือขาดความรู้อะไรบ้าง และยังได้ทราบว่าทางกลุ่มได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน “แพะพันธุ์เบงกอล” ผ่านมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
“แรกเริ่มพระราชทานให้สมาชิกกลุ่มมาคนละ 5 ตัว ตอนนั้นมีสมาชิกประมาณ 10 คน แต่ขอนำร่องก่อน 5 คนทางกลุ่มจึงได้แพะเบงกอลมา 25 ตัว จากนั้นมูลนิธิได้พากลุ่มเราไปศึกษาดูงานที่จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบอันดับต้นๆของประเทศในการเลี้ยงแพะ ด้วยความเหมาะสมของภูมิศาสตร์และสภาพอากาศ และเมื่อกลับมาเราก็เริ่มลุยกันอย่างจริงจัง” สุนีย์ กล่าว
ปธ.กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแพะท่าน้ำ เล่าต่อไปว่า ตามระบบราชการขั้นตอนการของบจากส่วนกลางจะล่าช้า ซึ่งในส่วนนี้คณะทำงานของมูลนิธิปิดทองฯ รับหน้าที่เป็นคนกลางประสานให้ โดยช่วงแรกๆ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ลงทุนงบประมาณการทำคอกเลี้ยงแพะให้ แต่มีข้อแม้ว่า “สมาชิกทุกคนต้องลงแรงช่วยกันทำโดยไม่มีค่าจ้าง เพื่อให้เกิดความภูมิใจในผลงานของตนเอง” และเป็นต้นแบบแห่งน้ำพักน้ำแรงให้คนอื่นๆ ได้เห็น ส่วนเรื่องความรู้ต่างๆ เช่นการวิจัยอาหาร ม.ร.ว.ดิศนัดดา จะช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ อาทิ กรมปศุสัตว์ หรือ มอ.ปัตตานี
จากโครงการนำร่องที่เริ่มต้นด้วยแพะพระราชทานเพียง 25 ตัว เมื่อรวมกับการเลี้ยงแบบเป็นระบบจากความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากหน่วยงาน “ปัจจุบัน ต.ท่าน้ำมีแพะประมาณ 270 ตัว” และทั้ง อ.ปะนาเระ มีแพะประมาณ 7,000 ตัวแล้ว และจากเดิมที่เลี้ยงแบบตามมีตามเกิดแพะที่คลอด 5-6 เดือนจะขายได้เที่ยวละ 6-7 พันบาท แต่เมื่อมีความรู้ เช่น เมื่อได้แพะตัวเมียก็เก็บไว้ขยายพันธุ์ ปัจจุบันชาวบ้านมีแม่พันธุ์นับสิบตัว รายได้การขายแพะต่อเที่ยวก็เพิ่มเป็นเกือบ 2 หมื่นบาท
“แพะที่เลี้ยงและจำหน่ายแบ่งเป็น3 ประเภท คือ 1.แพะเนี๊ยะ หรือแพะแก้บน อายุ 4-5 เดือน น้ำหนัก15 กิโลกรัม ขายตัวละ 2,300 บาทผู้บริโภคซื้อไปประกอบพิธีตามความเชื่อ 2.แพะอากีเกาะห์ หนัก 30 กิโลกรัมขึ้นไป ผู้บริโภคซื้อไปประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม เช่นบูชาพระเจ้าให้เด็กที่เพิ่งคลอด โดยเด็กผู้ชายใช้ 2 ตัว ส่วนเด็กผู้หญิงใช้ 1 ตัว และ 3.แพะบริโภคหรือแพะขุนอายุ 4-5 เดือน น้ำหนัก15 กิโลกรัมขึ้นไป ขายราคา 2,000-2,500 บาท หรือกิโลกรัมละ 170 บาท” สุนีย์ ระบุ
นอกจากแพะที่ขายเป็นตัวแล้ว “มูลแพะ” ยังเป็นอีกส่วนที่สร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยง เนื่องจากสามารถนำไปทำปุ๋ยขายได้ ราคาเฉลี่ย 3 กระสอบ 100 บาท ซึ่ง 2-3 วัน ผู้เลี้ยงแพะจะกวาดเก็บใส่กระสอบทีหนึ่ง “การมีความรู้ทำให้การเลี้ยงแพะมีคุณภาพดีขึ้นมาก” อาทิ อาหารที่ใช้เลี้ยงแพะแต่ก่อนชาวบ้านไม่รู้ว่าพืชตัวไหนมีโปรตีน มีสารอาหารอะไรที่เหมาะกับแพะบ้าง แต่หลังจากมูลนิธิปิดทองฯ ประสานหน่วยงานนำพืชในพื้นที่ไปวิจัย จึงว่ารู้พืชตัวไหนให้คุณให้โทษอย่างไรบ้าง
สุนีย์ ยกตัวอย่าง “หญ้าเนเปียร์”ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่น เมื่อนำมาเป็นอาหารแพะพบว่าต้นทุนค่าอาหาร 1 ตัว ไม่เกิน 10 บาท ความรู้เหล่านี้ทางกลุ่มพร้อมจะเผยแพร่ให้กับชาวบ้านทุกตำบล ซึ่งเฉพาะ ต.ท่าน้ำ ขณะนี้มีสมาชิกกว่า 20 รายแล้ว “คุณภาพชีวิตผู้เลี้ยงและครอบครัวก็ดีขึ้นด้วย” เมื่อการดูแลง่ายขึ้นผู้เลี้ยงก็มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นเพราะสามารถบริหารจัดการได้ว่าช่วงไหนต้องให้อาหาร ช่วงไหนแพะต้องอยู่ในคอก รวมถึงการมีรายได้เพิ่มขึ้นก็สามารถส่งเสียให้บุตรหลานได้รับการศึกษาในระดับสูงขึ้นด้วย
“เมื่อก่อนเป็นลูกจ้างก่อสร้าง ทำงานได้วันละ 60 บาท อยู่บ้านคนงาน ซื้อข้าวสารกินจนเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 จึงเลิกกลับมาอยู่บ้านตัวเอง มากรีดยาง เลี้ยงแพะ ปลูกผักข้างบ้านกินเอง กินทุกอย่างที่ปลูก ปลูกทุกอย่างที่กิน กระทั่งมารู้จักกับปรัชญาชีวิตพอเพียง ถึงจะเหนื่อยกาย แต่ใจเรามีความสุข แล้วหัวใจเราจะไปบำรุงร่างกายให้เราสู้ต่อได้” ปธ.กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแพะท่าน้ำ กล่าวในท้ายที่สุด
สิทธิชน กลิ่นหอมอ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี