ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานวางแผนบริหารจัดการต้นทุนที่มีอยู่ให้พอใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม แต่ประชาชนต้องร่วมมือใช้น้ำอย่างประหยัด ล่าสุดสถานการณ์ในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ มีปริมาณน้ำทั้งสิ้น 42,773 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 56 เป็นปริมาณน้ำใช้การได้19,003 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 36 ส่วนลุ่มเจ้าพระยาปริมาณน้ำต้นทุนใน 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวมกัน 10,131 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 41 ของปริมาณการกักเก็บ โดยเหลือปริมาณน้ำที่ใช้งานได้ 3,435 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 19 เท่านั้น แต่ก็ยังเป็นไปตามแผนที่กรมชลประทานกำหนดไว้
สำหรับการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้นทุกลุ่มน้ำ โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยากรมชลประทานดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำสาขาของลุ่มเจ้าพระยาต่อเนื่อง โดยเฉพาะลุ่มน้ำยมซึ่งไม่มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่นั้น ได้ศึกษาโครงการพัฒนาลุ่มน้ำยมทุกด้าน ทั้งนี้ แผนปรับปรุงประสิทธิภาพชลประทานและจัดการน้ำหลาก ปัจจุบันกรมดำเนินการหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการปรับปรุงก่อสร้างระบบชลประทานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการน้ำแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง และน้ำท่วมช่วงฤดูน้ำหลากในจ.สุโขทัย เช่น โครงการบางระกำโมเดล รวมทั้งยังปรับปรุงคลองหกบาท ซึ่งคลองระบายน้ำเดิมทางด้าน
ฝั่งซ้ายของแม่น้ำยมและคลองยม-น่านที่รับน้ำต่อจากคลองหกบาท พร้อมก่อสร้างประตูระบายน้ำ 2 แห่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567 ผลประโยชน์ที่ได้รับไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการน้ำบรรเทาปัญหาน้ำท่วมช่วงฤดูน้ำหลากเท่านั้นแต่ยังกักน้ำไว้ใช้ฤดูแล้งที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเกือบทุกปี เป็นน้ำต้นทุนให้ราษฎรในเขตพื้นที่โครงการชลประทานและใกล้เคียง มีน้ำไว้ใช้ด้านเกษตรช่วงฤดูแล้งได้ประมาณ 7,300 ไร่ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมมากกว่า 3,000 ล้านบาท
ส่วนแผนพัฒนาโครงการแหล่งน้ำขนาดกลางนั้น กรมน้อมนำพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2525 ความตอนหนึ่งว่า “.....ควรพิจารณาวางโครงการและก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามลำน้ำสาขาต่างๆ ของแม่น้ำยม เพื่อจัดหาน้ำให้ราษฎรหมู่บ้านต่างๆ ในเขตอำเภอสอง และอำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ สามารถมีน้ำทำการเพาะปลูกได้ทั้งในฤดูฝน-ฤดูแล้ง และมีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคตลอดทั้งปี.....”
ที่ผ่านมากรมชลประทานนำแนวพระราชดำริดังกล่าวมาศึกษาสร้างอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำยมพบว่าลุ่มน้ำยมมีจุดที่เหมาะสมมีศักยภาพที่จะสร้างอ่างเก็บน้ำได้ 22 แห่ง ความจุระดับกักเก็บน้ำรวมกัน 380 ล้าน ลบ.ม. ล่าสุดกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริที่บ้านปิน ต.เชียงม่วน อ.เชียงม่วน จ.พะเยา มีความจุที่ระดับเก็บกัก 90.50 ล้านลบ.ม. ซึ่งคณะอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นประธานฯติดตามขับเคลื่อน เร่งบูรณาการดำเนินโครงการเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดแล้วเสร็จในปี 2564
“เมื่อแล้วเสร็จสามารถส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรเขตชลประทานได้ถึง 28,000 ไร่ มีราษฎรได้ประโยชน์ 7,520 ครัวเรือน และยังส่งน้ำเพื่อสนับสนุนพื้นที่การเกษตรที่รับน้ำจากฝายแม่ยม จ.แพร่ ช่วงฤดูแล้งได้อีกกว่า 35,000 ไร่ ราษฎรได้รับการช่วยเหลืออีกกว่า 1,500 ครัวเรือน นอกจากนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังติดตั้งเครื่องกังหันน้ำผลิตไฟฟ้าได้อีก 6.34 ล้านหน่วย/ปี”อธิบดีกรมชลประทานกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี