อธิบดีกรมควบคุมโรค.เผยอนาคตไทยเสี่ยงพบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจากผู้ติดเชื้อของประเทศเฝ้าระวังแพร่ระบาดเดินทางเข้าไทย ขณะโฆษกสธ. เผยสายด่วน 1422 แทบไหม้ คนไทยวิตกห้ามเดินทางไปนอก ส่วนรองอธิบดีกรมการแพทย์ ระบุตั้ง"คลินิกไข้หวัด"แยกจากส่วนอื่นในทุกรพ. เพื่อรองรับ ไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้ป่วยอื่น
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์อภิรักษ์กุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ได้ร่วมกันแถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไวรัสโควิด 19(COVID-19)
นายแพทย์ธนรักษ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ไทยนำเข้ายาต้านไวรัสฟาวิลาเวียร์ ( Favilavir) เพื่อเตรียมนำมาใช้รักษาผู้ป่วยในประเทศมีจำนวนมากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่ามีเพียงพอใช้รักษาผู้ป่วยในประเทศได้ แต่ทั้งนี้จะเป็นการนำมาใช้กับผู้ป่วยบางรายที่มีอาการหนักเท่านั้น ไม่ใช่การนำมาใช้กับผู้ป่วยทุกคนที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพราะบางรายสามารถหายเองได้ โดยขณะนี้แพทย์ได้ให้ยานี้กับผู้ป่วยอาการหนัก 2 คนรายแรกคนหนุ่มที่ต้องใช้เครื่องเอคโม Acmo ในการช่วยหายใจ ซึ่งอาการยังวิกฤตแต่ก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้ป่วยหนักอีกรายที่เป็นวัณโรคอยู่เดิม ก่อนที่จะติดเชื้อโควิด-19 ยังคงอาการวิกฤตคงที่ ไม่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น
โดย"ยาฟาวิลาเวียร์"ประเทศไทยได้มีการตัดสินใจนำยาดังกล่าวเข้ามารักษาผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ก่อนที่ประเทศจีนจะประกาศมั่นใจว่า เป็นยาที่ได้มาตรฐานในการรักษาโรคดังกล่าว ทั้งนี้ จากการปรึกษาและให้คำแนะนำจากอาจารย์แพทย์หลายสาขาของไทยล้วนมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า"ยาฟาวิลาเวียร์"ใช้กับผู้ป่วยมีโอกาสรักษาโรคติดเชื้อนี้หายได้ จึงเป็นที่มานายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ตัดสินใจสั่งให้องค์การเภสัชกรรม นำยานี้เข้ามาจากต่างประเทศจำนวนมากเพื่อรองรับสถานการณ์ล่วงหน้า
สำหรับประเทศไทยตอนนี้เราเปิดศึกสองด้านคือ 1.ต้องเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศซึ่งมีเพิ่มขึ้นหลายประเทศที่เฝ้าระวังการติดเชื้อ สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในประเทศทั้งคนไทยและคนในประเทศเหล่านั้นอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มวานหนักขึ้นแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 2. การเฝ้าระวังผู้ป่วยภายในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวนิยม ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย กระบี่ ภูเก็ตประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ กทม.และชลบุรี เพื่อที่ทำให้พบผู้ป่วยได้โดยเร็วเพื่อควบคุมให้ลดคนแพร่เชื้อโดยยังคงภาวะผู้ป่วยจำนวนน้อยที่สุดออกไปยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
"สำหรับคนไทยที่เดินทางไป-มาในประเทศยังมีความมีความเสี่ยงน้อยมาก แต่ในอนาคตจะค่อย ๆ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยมีแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นการที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยสาเหตุหลักของความเสี่ยงมาจากสถานการณ์ในประเทศต่างๆ อย่างญี่ปุ่นเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอิตาลี เริ่มมีผู้ป่วยมากขึ้นและเราจะพบว่าผู้ติดเชื้อจากประเทศเหล่านี้เดินทางเข้ามาประเทศไทย"นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าว
ดังนั้น ขอร้องว่าให้คนในประเทศ อย่าตื่นตระหนก และให้ช่วยกันประคองสถานการณ์เพื่อสังคมเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศโดยไม่เฉื่อยชาในการป้องกันตัวเองรวมทั้งคนรอบข้าง และประเทศไม่ต้องเสี่ยง กับการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยคนที่ยังไม่ป่วยก็แนะนำว่า อย่าไปมีสถานที่มีคนอัดและหากจำเป็น ก็ควรจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือให้บ่อยๆรวมทั้ง ไม่เอามือมาสัมผัสบริเวณหน้าตาจมูกปากซึ่ง มีความเสี่ยงพอกับการที่จะไปรับเชื้อที่แพร่กระจายจากละอองฝอยของเชื้อโรค ตลอดจนเรียนรู้ในการปฏิบัติตัว ที่จะกินอาหารร้อนใช้ช้อนกลางแม้ทานอาหารในบ้าน
ด้านนายแพทย์ทวีศิลป์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ประเทศไทย ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสอบสวนโรคเพิ่มขึ้น101ราย เป็น 1,252ราย ซึ่งจำนวนมากขึ้นเนื่องจากมีการเพิ่มประเทศของผู้ที่มาจากต่างประเทศ โดยในจำนวนนี้กลับบ้าน1,006 ราย และอยู่ในโรงพยาบาลเฝ้าอาการ 246 หลาย ขณะที่ วันนี้มีผู้ป่วย ชายไทยที่เป็นไกด์เดินทางมากับคณะจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ที่เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลชลบุรี ได้กลับบ้านแล้วเพิ่ม 1 ราย รวมเป็น 20 ราย ยังคงมีผู้อยู่ในโรงพยาบาล 15 ราย ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยสะสมคงที่ 35 ราย
"จากกรณีสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ มีผู้ประชาชนโทรเข้ามาสอบถามข้อมูลวันละ 200-400 คนเพื่อสอบถามรายละเอียดเรื่องการให้ชะลอเดินทางไปต่างประเทศนั้น ขอชี้แจงว่าขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังไม่มีนโยบายห้ามการเดินทางออกนอกประเทศ แต่มีข้อแนะนำ ดังนี้ 1. ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ขอให้หาข้อมูล ประเทศนั้นมีรายงานพบผู้ติดเชื้อหรือไม่ ซึ่งหากเดินทางไปย่อมมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อ 2. หากจำเป็นต้องไปก็ขอให้ระมัดระวังป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ อย่างสำคัญที่สุด 3. หากเดินทาง กลับมาจากต่างประเทศแล้ว ขอความร่วมมือว่าหากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอหายใจลำบาก ขอให้แจ้งแพทย์ทันทีเมื่อเดินทางมาถึง แต่หากอาการปกติก็ให้ดูแลตัวเองต่อไปอีก 14 วันโดยไม่ออกไปไหนและป้องกันไม่ให้คนรอบข้างติดเชื้อ โดยใส่หน้ากากอนามัยและไม่สัมผัส ถ้าระหว่างนี้พบความผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันทีเหมือนอย่างกรณีแท็กซี่ที่มีอาการป่วยหยุดงานทันทีและรีบมาพบแพทย์ทันที
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ยังกล่าวถึง กรณีที่หลายหน่วยงาน อย่างเช่น มหาลัยต่างๆ สภากาชาดไทย ตลอดจนกรมการแพทย์ ได้มีหนังสือขอความร่วมมือไม่ให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรในหน่วยงานเดินทางไปต่างประเทศนั้น ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก และสะพรึงกลัว แม้ว่าจะมีการประกาศดังกล่าวออกมาหน่วยงานตามที่ปรากฏข่าวจริง ทั้งนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเพื่อให้การดูแลคนในปกครองของหน่วยงานตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้
ทางด้านนายแพทย์ณรงค์ อภิรักษ์กุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ผู้ป่วยที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ในโรงพยาบาล แพทย์ต่างๆ รวมทั้งโรงพยาบาลของรัฐในต่างจังหวัด ตลอดจนโรงพยาบาลในสังกัดของกทม. และเพิ่มจำนวนเตียงพยาบาล เพื่อไว้รองรับความพร้อมหากมีการแพร่ระบาดขยายวงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ ที่สำคัญได้มีการจัดคลินิกไข้หวัดแยกออกมาต่างหากในแต่ละโรงพยาบาล เพื่อลดการแพร่กระจายการติดเชื้อในโรงพยาบาลและในกลุ่มผู้ป่วยด้วยกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี