24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่ายังมีผู้ป่วยสะสมที่ 35 รายรักษาหาย 21 ราย ยังรักษาในรพ. 14 ราย ส่วนผู้ป่วยอาการหนัก 2 ราย ในรายที่ใส่เครื่องช่วยการพยุงการทำงานของปอดนั้นตอบสนองต่อการรักษาดี ส่วนรายที่มีวัณโรคร่วมด้วยมีการตอบสนองต่อการรักษาดีเช่นกัน สามารถหายใจได้ดีขึ้น นอกจากนี้ กระแสข่าวมีผู้ป่วยจากประเทศจีนเข้ามารักษาที่รพ.แม่สอดนั้น ผลการตรวจแล็บ 2 แห่งออกมาเป็นลบ
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าผลแล็บผู้ป่วยชาวจีนที่ รพ.แม่สอด ออกมาเป็นลบ แต่ตามช่องทางที่เข้ามามีกระบวนการคนไทยกลุ่มหนึ่งรับจ้างพาเดินทางมาทางเรือ และเข้าทางช่องทางธรรมชาติ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อระบบเฝ้าระวังโรค จะต้องคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ นพ.รุ่งเรือง กล่าวว่า เป็นมาตรการที่เราต้องสะท้อนกลับไปว่าต้องทำให้เข้มข้นขึ้น ดีขึ้น ซึ่งพรมแดนธรรมชาติเป็นส่วนที่คนสามารถเดินทางข้ามมาได้ แต่สิ่งสำคัญคือการทำงานในระดับพื้นที่ ทั้งด้านความมั่นคงและประชาชนในพื้นที่ ที่สำคัญหากข้ามมารักษาที่ รพ. ซึ่งเป็นตะแกรงขั้นที่ 2 แล้วถ้าคนที่พาเข้ามาเกิดติดเชื้อจริงนั้น คนที่พามาถือเป็นคนสี่ยงสูงมากจะต้องถูกติดตามเช่นกัน ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการเมื่อช่วงเช้าที่มีปลัดกระทรวงฯเป็นประธาน ได้เน้นย้ำเรื่องการประสานงานมากอย่างไรก็ตาม ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทางมหาดไทย ฝ่ายปกครอง ตอนนี้ประสานขึ้นเรื่อยๆ พยายามปิดพรมแดนธรรมชาติ
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ภายหลังจากกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับเกณฑ์การเฝ้าระวังโรคทำให้มีผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง เพิ่มขึ้นวันละกว่า 100 ราย ซึ่งยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม อย่างไรก็ตาม เราได้นำประสบการณ์การแพร่ระบาดที่ประเทศเกาหลีใต้ที่พบว่ามีผู้ป่วยหญิง 1 ราย ที่ป่วยแล้วไปแพร่เชื้อที่โบสถ์และสถานที่ต่างๆ มาปรับใช้กับในประเทศไทย ซึ่งยังไม่พบสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันแต่จะเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง
"การเฝ้าระวังตอนนี้ของไทยต้องเฝ้าระวังทั้งคนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงและเฝ้าระวังคนในประเทศเอง เพราะก่อนหน้านี้ที่มีผู้ป่วยต่างชาติ 25 คนนั้น เขามาอยู่ในไทยเดือนกว่าอาจจะมีการแพร่เชื้อในคนไทยด้วยก็ได้ จึงต้องค้นหาให้เจอ"นพ.โสภณ กล่าว
ขณะที่ นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในระยะต่อไปที่จะส่งผลสถานการณ์ในประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จะมาจากการปฏิสัมพันธ์ในสังคมจะเกิดโอกาสประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม จึงต้องมีการย้ำมาตรการเฝ้าระวังโรคในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น ดังนี้
1.การคัดแยก คัดกรองผู้ป่วยระบบทางเดินหายในออกจากผู้ป่วยโรคอื่นๆ
2.ปรับเกณฑ์เฝ้าระวังผู้ป่วยให้เร็ว และกว้าง ต้องมีการฝึกซ้อม รพ.ทุกสังกัดเตรียมรับมือสถานการณ์ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด โดยเราได้เตรียมสถานที่ บุคลากร และเครื่องมือที่พร้อมปฏิบัติงานภายใน 48 ชั่วโมง หากพบสถานการณ์ระบาดระดับ 3 โดยมาตรการก็อยู่ที่ว่าจะเจอผู้ป่วยมากแค่ไหน เบื้องต้นเตรียม รพ.ในสังกัดกรมการแพทย์ได้เตรียมรพ.ราชวิถี, รพ.นพรัตน์, รพ.เด็ก, และสถาบันบำราศนราดูร เพื่อรองรับถ้ามีเคสเพิ่มประมาณ 30-40 คน เช่นที่ สถาบันบำราศ ส่วน รพ.สังกัดกทม.อื่นๆและโรงเรียนแพทย์จะเตรียมการในระยะต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี