สาระเกี่ยวกับกฎหมายแอปเตอร์ที่จะพูดเป็นเรื่องสุดท้าย คือ เรื่องของสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับความคุ้มครองสำหรับคนต่างชาติก็อย่างที่บอกไปตอนต้นๆ นั่นแหละครับ กฎหมายฉบับนี้ ความจริงไม่ค่อยเกิดประโยชน์กับเจ้าหน้าที่ผู้มีสัญชาติไทยเราเท่าไหร่นัก หากแต่เกิดประโยชน์กับคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในสำนักเลขานุการแอปเตอร์มากกว่า แต่ทั้งนี้ก็คงเป็นเรื่องปกติของกฎหมายลักษณะนี้ คงเหมือนกันทั่วโลก ถือเป็นข้อตกลงระหว่างชาติครับ
สิทธิประโยชน์อีกอย่างที่ได้เฉพาะคนที่เป็น จีเอ็ม หรือ รอง จีเอ็ม ที่กฎหมายกำหนดอนุเคราะห์ยกเว้นให้คือการได้รับการยกเว้นอากรนำเข้าของใช้ส่วนตัวและของใช้ในบ้านเรือนภายในระยะเวลาสามเดือนหลังจากเข้ารับตำแหน่งครั้งแรก ก็คงเขียนให้สิทธิ์ไว้ครับ เผื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีการขนของติดตัวมาใช้ตามที่ระบุ แต่ในทางเป็นจริง เรื่องนี้ไม่ค่อยซีเรียสนัก เพราะที่ผ่านมาเห็นมีแต่ขนกระเป๋าเสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ไม่ได้มากมายพิศดารเท่าใดนัก เดาเอาว่า คงเป็นการให้สิทธิ์เหมือนๆ กับตัวแทนประเทศต่างๆ ที่ไปทำงานประจำในต่างประเทศ แต่ดูให้ดีนะครับว่ากฎหมายเขายกเว้นให้เฉพาะการเดินทางเข้ามาในครั้งแรกนะครับ ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่เข้า-ออกประเทศไทย
สำหรับสิทธิประโยชน์อีกประการ แต่ใช้กับคนต่างชาติทุกคนที่มาทำงานในสำนักเลขานุการแอปเตอร์ ซึ่งได้แก่ทั้ง จีเอ็ม รองจีเอ็ม ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทั่วไป คือ สิทธิที่จะได้รับการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติตามกฏหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว อันนี้ก็คงเป็นข้อปฏิบัติระหว่างชาติโดยทั่วไปอีกนั่นแหละครับ และก็ไม่มีอะไรมาก เห็นมีเจ้าหน้าที่แอปเตอร์มาให้ผมรับรองสถานะผู้เชี่ยวชาญคนญี่ปุ่นสำหรับไปยื่นขอวีซ่าระยะยาวเพื่ออยู่พำนักประเทศไทยเป็นช่วงๆ ก็เห็นมีอยู่เท่านั้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหน่วยงานของเรามีคนต่างชาติทำงานอยู่น้อย แตกต่างจากพวกสำนักงาน ยูเอ็น แถวถนนราชดำเนิน หรือสำนักงาน เอฟเอโอ แถวถนนท่าพระอาทิตย์ ซึ่งเขามีคนต่างชาติเยอะมาก ฉะนั้นคงมีเรื่องเกี่ยวกับ ต.ม. หรือกิจการต่างด้าวให้ต้องทำกันอยู่ตลอดเวลา
มาตราสุดท้ายของพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม คือ มาตรา 8 ว่าด้วยผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายระบุให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้รักษาการ หมายถึงเป็นผู้รับผิดชอบดูแลตลอดจนผลักดันทุกเรื่องเกี่ยวกับแอปเตอร์ให้บรรลุผลเป็นไปตามกฎหมาย ก็อยู่ที่ฝ่ายเลขานุการของกระทรวงล่ะครับ คือ สำนักเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. ว่าจะชงวาระงานต่างๆ ให้ท่านรัฐมนตรีได้บริหารสั่งการต่อไป ทั้งที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัตินี้ หรือการดำเนินงานด้านอื่นๆเพื่อประโยชน์ร่วมกันของอาเซียนบวกสาม จะว่าไปแล้วบทบาทของประเทศไทยที่เกี่ยวกับแอปเตอร์ที่ผ่านมาขึ้นอยู่กับความสนใจของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ครับ สมัยหนึ่งประเทศไทยเคยบริจาคข้าวช่วยภัยธรรมชาติ ได้แก่ พายุไห่เยี่ยน ที่พัดถล่มตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นจำนวนมากถึง 5,000 ตัน มากที่สุดในอาเซียนบวกสาม เป็นที่ชื่นชมของทางการและคนฟิลิปปินส์มาก ก็เพราะช่วงนั้นผู้บริหารเรารู้จักแอปเตอร์ดี เพราะเพิ่งมาตั้งในประเทศไทยใหม่ๆ หลังจากนั้นก็ซาๆลงไป ทั้งที่ช่วงหนึ่งเรามีข้าวล้นสต๊อกเกือบ 20 ล้านตัน เราก็ไม่มีโปรแกรมที่จะบริจาคแต่อย่างใด ฝ่ายเลขานุการแอปเตอร์เอง แม้ว่าจะตั้งอยู่ในประเทศไทย และมีคนทำงานเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย แต่ตามกฎระเบียบแอปเตอร์แล้ว ทุกคนถูกกำหนดให้ต้องปฏิบัติตัวแบบเป็นกลางอย่างสุดๆ เสมือนหนึ่งว่ามิใช่คนไทย เราจึงทำได้เพียงเวียนหนังสือเพื่อขอความอนุเคราะห์หรือเชิญชวนเข้าร่วมการดำเนินงานในลักษณะที่มีรูปแบบและหลักเกณฑ์เหมือนกันทุกประเทศที่เป็นสมาชิกแอปเตอร์ไม่สามารถที่จะเข้าไปล็อบบี้โน้มน้าวการตัดสินใจใดๆ เป็นการส่วนตัว บทบาทของประเทศไทยต่อสมาชิกแอปเตอร์จึงดูเหมือนว่าไม่สมศักดิ์ศรีของความเป็นเบอร์หนึ่งหรือเบอร์ต้นๆ ของโลกในการผลิตข้าวส่งออก เลยครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี