ภัยแล้ง 2563 วิกฤติหนัก ปิดทองหลังพระฯ สร้างต้นแบบปลูกผักโรงเรือนใช้น้ำน้อย ทำ“เกษตรแม่นยำ” นำพาเกษตรพื้นที่ต้นแบบฝ่าวิกฤตภัยแล้ง ทำแบบครบวงจรให้ความรู้ สู่ตลาดโมเดิร์นเทรด ด้านผวจ. อุดรธานี ชี้ ไม่ปล่อยให้โดดเดี่ยว ตั้งคณะทำงานขับเคลื่อน หวังขยายผลทั้วจังหวัด
จากการคาดการณ์ วิกฤติภัยแล้งปี 2563 จะรุนแรงโดยต่อเนื่องถึงกลางปี เนื่องจากปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าค่าปกติ 3-5 เปอร์เซ็นต์ เขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลายแห่งจะขาดแคลนน้ำใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการเกษตรจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ กล่าวว่าสถาบันฯ ได้ร่วมกับจังหวัดอุดรธานี ดำเนินโครงการนำร่อง “ปลูกผักโรงเรือน แก้ปัญหาภัยแล้ง” เพื่อสร้างรายได้ช่วงขาดแคลนน้ำและมีรายได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี โดยได้คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบ 19 ราย ที่อยู่ในพื้นที่ปิดทองหลังพระฯ บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ตำบลกุดหมากไฟ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เข้าร่วมโครงการ
สำหรับการดำเนินงานโครงการ สถาบันฯ เป็นผู้สนับสนุนโรงเรือนให้เจ้าของที่ดินผู้ร่วมโครงการฯ โดยคัดเลือกเกษตรกรที่สมัครใจ มีประสบการณ์ปลูกผักอยู่แล้ว มีน้ำต้นทุนเพียงพอ พร้อมแบ่งพื้นที่และน้ำให้เกษตรรายอื่นที่เข้าร่วมด้วย โดยบริการกลุ่มในรูปแบบกองทุนที่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต้องคืนเงินสมทบเข้ากองทุนหลังจากมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตแล้ว สิ่งสำคัญคือสถาบันฯ จะทำการวิจัยและพัฒนาโครงการ จัดทำเป็นแนวทางการปลูกผักในโรงเรือนฯระบบน้ำหยดแบบแม่นยำ และจะขยายผลไปยังพื้นที่ต้นแบบ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่นและผู้ที่สนใจต่อไป
ด้านนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวถึงความร่วมมือที่เกิดขึ้นว่า โครงการของสบาบันฯ เป็นสิ่งที่ดีและจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง การดำเนินงานจะไม่ยอมปล่อยให้สถาบันฯ ทำงานโดดเดี่ยวแต่เพียงลำพัง โดยเฉพาะในขณะนี้ที่ชาวบ้านต้องเตรียมเผชิญกับวิกฤตภัยแล้ง
นายนิรัตน์ ระบุว่า ขณะนี้จังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อทำงานควบคู่กับสถาบันฯ ซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีม โดยจะร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนนายอำเภอ ในการดำเนินงานตามภาระหน้าที่รวมถึงการทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อผลักดันให้จุดเริ่มต้นประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการทำเกษตรโดยใช้น้ำน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัดอุดรธานี
ทั้งนี้ การดำเนินงานโครงการ สถาบันฯ เป็นผู้สนับสนุนโรงเรือนให้เจ้าของที่ดินผู้ร่วมโครงการฯ โดยคัดเลือกเกษตรกรที่สมัครใจ มีประสบการณ์ปลูกผักอยู่แล้ว มีน้ำต้นทุนเพียงพอ พร้อมแบ่งพื้นที่และน้ำให้เกษตรรายอื่นที่เข้าร่วมด้วย โดยบริการกลุ่มในรูปแบบกองทุนที่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต้องคืนเงินสมทบเข้ากองทุนหลังจากมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตแล้ว
โครงการปลูกผักโรงเรือนเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง จะทำงานในรูปของความร่วมมือแบบบูรณาการจากหลายภาคส่วนที่ทำแบบครบวงจร โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ที่จังหวัดอุดรธานี แต่งตั้ง มีส่วนราชการที่รับผิดชอบ อาทิ กรมชลประทานดูแลเรื่องการทำระบบน้ำหยดในแปลง กรมพัฒนาที่ดิน ทำการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด กรมป่าไม้ดูแลเรื่องการปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ให้ความรู้อบรมเรื่องการบริหารจัดการแปลงเกษตรชุมชน บริษัทสยามแม็คโครฯ ร่วมในการวางแผนการปลูกผักให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและรับซื้อผลผลิต เป็นต้น
นอกจากนั้น โครงการปลูกผักโรงเรือนเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งยังเป็นการทำการเกษตรแม่นยำ ซึ่งสามารถวางแผน กำหนดระยะเวลาการปลูกได้อย่างถูกต้อง และครั้งนี้เป็นการปลูกผักในโรงเรือนครั้งแรก เกษตรกรเลือกพืชที่มีประสบการณ์ปลูกมาแล้ว คือ ต้นหอม ผักชี เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดช่วงหน้าแล้ง ขายได้ราคาดี ใช้เวลาปลูก 45 วันก็เก็บเกี่ยวได้ ในส่วนของโรงเรือนปลูกผัก มีขนาด 6x24 ตารางเมตร มีโต๊ะปลูกผักจำนวน 8 โต๊ะ ใน 1 ปีสามารถปลูกได้ถึง 8 ครั้ง
ส่วนน้ำที่ใช้ในการรดผักเป็นแบบน้ำหยด ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อบาดาลที่เกษตรกรมีอยู่แล้ว สูบโดยเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นถังพักน้ำและกระจายน้ำสู่โต๊ะปลูกผัก ซึ่งระบบน้ำหยดจะใช้น้ำน้อยกว่าสปริงเกอร์ 18 เท่า ใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกข้าว 112 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ แม้ค่าลงทุนโรงเรือนปลูกผักครั้งแรกจะมีราคาสูงประมาณ 140,000 บาท แต่จะประหยัดในเรื่องการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เนื่องจากโรงเรือนปลูกผักแบบโต๊ะจะสามารถควบคุมดินปลูก ป้องกันแมลงได้ และใช้วัสดุที่หาได้ง่าย ทำได้เอง เกษตรกรสามารถซ่อมแซมได้หากเกิดการชำรุด เสียหาย ด้านรายได้การปลูกผักในโรงเรือนฯ จะมีรายได้มากกว่า 190,000 บาท/ไร่/ปี ขณะที่ปลูกข้าว รายได้ 4,365 บาท/ไร่/ปี ข้าวโพด 3,321 บาท/ไร่/ปี รวม 7,686 บาท เมื่อเทียบกันแล้วการปลูกผักในโรงเรือนใช้น้ำน้อยได้กำไรมากกว่าข้าวและข้าวโพดประมาณ 25 เท่า และเป็น 71 เท่าของมันสำปะหลังที่มีรายได้ 2,700 บาท/ไร่/ปี สำหรับการลงทุนต่อ 1 โรงเรือน เกษตรกรจะต้องทยอยคืนเงินกลับสู่กองทุน คาดการณ์จะคืนทุนภายใน 3 ปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี