สธ.เผยสถานการณ์โควิด-19 'คงที่'พบติดเชื้อภายในประเทศวันละ 80-90 ราย ส่วนที่เหลือเป็นผู้ป่วยมาจากต่างประเทศอีก 14-15 คน ชี้เป็นหวัดนาน 4-5 วัน หายใจเร็ว เหนื่อยให้รีบมาพบแพทย์
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า จากการสอบสวนโรคของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้ป่วยใหม่จำนวนครึ่งหนึ่งมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยติดเชื้อรายก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ จากการดูตัวเลขกลุ่มผู้ป่วยรายใหม่ยังพบว่าเป็นผู้ป่วย import case หรือ ผู้ป่วยเดินทางมาจากต่างประเทศเข้ามาไทย พบวันละ 14-15 ราย ทั้งนี้ ต่อไปจะพบคนไทยที่ติดเชื้อในประเทศวันละประมาณ 88-90 คน
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยคนไทยรายใหม่ในวันนี้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม 1.กทม.และปริมณฑลจำนวน 58 คน อยู่ในกทม. 47 คน นนทบุรี 5 คน สมุทรปราการ 5 คน ปทุมธานี 1 คน 2.จังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญ จ.ภูเก็ต ชลบุรี รวมจำนวน 16 คน 3.จังหวัดชายแดนใต้มีผู้เดินทางกลับจากร่วมประกอบศาสนกิจที่ประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย จำนวน 12 คน และ 4.จังหวัดที่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 1-2 คน มีจำนวน 5 จังหวัด
"สถานการณ์การป่วยของไทย ถือว่าคงตัว ฉะนั้นในระหว่างนี้ ควรดำเนินการ 2 มาตรการอย่างเข้มข้น 1.การค้นหาผู้ป่วยและผู้สัมผัส นำเข้าระบบให้เร็วเพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของโรค และ 2.ขอความร่วมมือประชาชนในการเพิ่มระยะห่างระหว่างบุคคล สังคม ไม่ออกจากบ้านหากไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องออก ต้องสวมหน้ากากอนามัย เลี่ยงที่ที่คนแออัด เลี่ยงคนไอจาม กินร้อน ช้อนกลางส่วนตัว" นพ.ธนรักษ์ กล่าว
นพ.ธนรักษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีพบผู้ป่วยโควิด-19 ที่คลอง3 ปทุมธานีนั้น ต้องขอชี้แจงว่าการพบผู้เสียชีวิตในพื้นที่ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่นั้นจะมีความเสี่ยงมากกว่าที่อื่น ความเสี่ยงเท่าเดิม ขอให้ประชาชนในพื้นที่อย่าตกใจ ซึ่งกรมควบคุมโรคจะส่งคนเข้าไปสอบสวนโรค และให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวทั้งคนที่สัมผัสเสี่ยงสูง โดยเฉพาะคนร่วมบ้าน คนสัมผัสเสี่ยงต่ำเป็นใครควรทำตัวอย่างไร
อย่างไรก็ตามขอประชาชนอย่ากังวล โดยเกณฑ์ที่นักระบาดใช้ในการสอบสวนโรคคนสัมผัสเสี่ยงสูงคือ 1.คนที่ใกล้ชิดระยะ 1 เมตรนาน 5 นาที มีการพูดคุยโดยไม่มีเครื่องป้องกัน 2.อยู่ในห้องเดียวกัน ห้องปิด กับผู้ป่วย 1 เมตร นาน 30 นาที เป็นต้น ส่วนคนที่อยู่ร่วมชุมชนมีโอกาสน้อยมาก แต่ข้อมูลตั้งแต่ที่มีการตรวจคนสัมผัสเสี่ยงสูงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคนที่โดยสารร่วมสายการบิน นั่งรถคันเดียวกันพบว่าใน 100 คน พบว่าติดเชื้อแค่ร้อยละ 2-4 เท่านั้น
ต่อข้อถามที่ชายไทยอายุ 57 ปี ที่เดินทางกลับจากปากีสถานและผ่านด่านตรวจสุวรรณภูมิ แต่เสียชีวิตโดยปรากฏติดเชื้อโควิด-19 ควรจะยกระดับมาตรการตรวจวัดไข้หรือไม่ นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า โดยปกติผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ แต่เป็นไปได้ว่าทานยาพาราเซตามอลมาก่อนจึงไม่พบไข้ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นมีขั้นตอนกักกันตัวเฝ้าสังเกตอาการ โดยอาจจะเป็นรูปแบบสถานที่รัฐจัดเตรียมไว้ของพื้นที่ทหาร หรือโรงแรมที่รองรับ และหากเป็นการกักตัวที่บ้านก็จะมีเจ้าหน้าที่ติดตามดูแลอาการจนครบตลอด 14 วัน ทั้งนี้ สุดท้ายหากผู้มีอาการก็ต้องปรากฏให้ทราบในระยะ 14 วัน
เมื่อถามกรณีที่สถานพยาบาลบางแห่งรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แล้วบอกว่ามีอาการเบาแล้วให้กลับบ้านได้ ทั้งที่ยังหายดีนั้น นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า หากพบโรงพยาบาลใดปฏิบัติเช่นนี้ให้แจ้งศูนย์โควิดฯ และอธิบดีสบส.ดำเนินการความผิดตามกฎหมาย ทั้งนี้ ยืนยันว่า มาตรฐานการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด ไม่ว่าอาการเบาขนาดไหนก็ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยกลับบ้าน
ด้านนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.)ได้มีการกำหนดไกด์ไลน์ที่ชัดเจนว่า สถานพยาบาบาลต้องรักษาผู้ติดเชื้อโควิดให้อยู่ครบ 14 วัน โดยหลังจากอยู่รพ.ครบ 7 วันแล้ว อาจจะให้ไปอยู่ฮอทพิเทล(รพ.สนาม หรือโรงแรมที่ดัดแปลงมาเป็นที่พักฟื้นผู้ป่วย)หรือให้อยู่รพ.จนครบ 14 วัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ ถ้าหากมีโรงพยาบาลใดไม่ดูแลคนไข้ให้เป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าว ทางสบส.จะดำเนินการตามกฏหมายต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี