ศบค.รายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 27 ราย ไม่มีรายงานเสียชีวิต 3 วันติด แต่ยังวางใจไม่ได้ ขณะที่สธ.คาดจากตัวเลขปัจจุบัน อัตราแพร่แค่ 1.12 คน สามารถรับมือได้ แต่ห้ามพลาดเด็ดขาด เตือนบริษัทเอกชนอย่าเพิ่งผ่อนคลายกลับมาทำงานปกติ
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 20 เมษายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) แถลงว่า สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 27 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,792 ราย ไม่มีรายงานเสียชีวิตเพิ่มเติม หายป่วยกลับบ้านเพิ่มเติม 71 ราย หายป่วยสะสม 1,999 ราย อยู่ระหว่างรักษา 746 ราย แม้ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ยังเป็นสองหลัก แต่ยังไว้วางใจไม่ได้ เพราะประเทศเพื่อนบ้านเขาเพียงผิดพลาดเล็กน้อยตัวเลขก็สูงขึ้น ทั้งนี้ มีจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยรายใหม่ในรอบ 14 วัน เพิ่มเข้ามาอีก 2 จังหวัดคือ สระแก้ว และอุบลราชธานี รวมแล้วขณะนี้มี 35 จังหวัด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผลการปฏิบัติงานช่วงเคอร์ฟิวคืนวันที่ 19 เม.ย.ต่อเนื่องเช้าวันที่ 20 เม.ย. มีผู้ฝ่าฝืน ออกนอกเคหสถาน 660 คน ลดลงจากคืนก่อน 14 ราย ชุมนุม มั่วสุม 86 คน เพิ่มขึ้นจากคืนก่อน 18 คน พฤติกรรมยังซ้ำๆเดิมๆ จึงขอให้ท่านร่วมมือ อย่าให้มีตัวเลขเพิ่มขึ้น เพราะมาตรการเหล่านี้เป็นเครื่องการันตีว่าถ้าไม่ชุมนุมก็ไม่จะติดโรค มีความสำคัญเชื่อมโยงกัน ตัวเลขก็จะลดลงเรื่อยๆ ส่วน 10 จังหวัดที่มีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวมากสุด ได้แก่ ปทุมธานี ภูเก็ต สมุทรปราการ กทม. นครราชสีมา ชลบุรี ราชบุรี สระบุรี สงขลา เชียงใหม่ และมี 8 จังหวัดที่ไม่มีผู้ฝ่าฝืนเลย ได้แก่ แม่ฮ่องสอน สิงห์บุรี พิจิตร สกลนคร ศรีสะเกษ อุทัยธานี บุรีรัมย์ และอ่างทอง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. เป็นประธานการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ โดยนายกฯได้ชื่นชมประชาชนที่ช่วยกันทำให้ตัวเลขลดลงเป็นเลขสองหลักมาสักระยะหนึ่งแล้ว พร้อมกับชื่นชมเจ้าหน้าที่ในทุกระดับ และจากการลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมด่านต่างๆ นายกฯอยากให้มีการดูแลเรื่องเบี้ยเลี้ยงและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับเจ้าหน้าที่ โดยให้หัวหน้าส่วนราชการดูแลอย่างดี เพราะเชื่อมั่นในวิจารณาญาณและสติปัญญาในการช่วยแก้ไขปัญหา
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในที่ประชุมปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้รายงานการคาดการณ์การติดเชื้อของกองระบาดวิทยาว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันการติดเชื้อของผู้ป่วย 1 คน จะสามารถแพร่เชื้อได้ 1.12 คน เป็นสถิติที่ดีมากๆ เป็นการอัตราที่ต่ำ ซึ่งตามหลักการระบาดวิทยาที่มีการคำนวณ คาดว่าในปลายเดือน มิ.ย. ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเหลือสัปดาห์ละ 22 คน จากเดิมสัปดาห์ละ 200 คน ตัวเลขตรงนี้เรามีความสามารถในการดูแลรักษาได้ แต่ถ้าเราปล่อยปละละเลย ไปชุมนุม ตัวเลข 1.12 จะขยับไปเป็น 1.8 ทำให้คาดการณในระหว่างวันที่ 22-28 มิ.ย. จะมีผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่ม 2,419 ราย ซึ่งเยอะมาก เป็นคนละเรื่องกันเลย เราไม่อยากเห็นภาพนี้ โดยมีการฉายภาพให้ที่ประชุม ศบค.เห็นเพื่อวางแผนจัดหาวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เตียง เวชภัณฑ์ เป็นต้น นอกจากนี้ สธ.ยังมีมาตรการค้นหา ลดการแพร่เชื้อในชุมชน ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงออกเป็นมาตรการติดตามหาผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ให้เจอ ค้นหาเชิงรุกในประชากรกลุ่มเสี่ยง โดยต้องเจาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน รวมถึงค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) รายงานคนไทยที่แจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศหลังวันที่ 30 เม.ย.มี 8,998 คน และคาดว่าจะมีการลงทะเบียนเพิ่มขึ้น เพราะสถานการณ์ทั่วโลกมีการติดเชื้อจำนวนมาก หลายคนจึงอยากกลับบ้าน แต่เราต้องปรับสมดุลให้ดี ทั้งนี้ สำหรับคนไทยที่แจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับ มี 14 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา 1,950 คน ออสเตรเลีย 786 โดยทุกคนจะต้องทำตามขั้นตอน ซึ่งไม่ได้มีการย่อหย่อนแต่อย่างใด ขณะที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้รายงานสถานกักกันโดยรัฐกำหนดให้นั้น มี 796 แห่ง รองรับได้ 20,941 คน แต่ขณะนี้มีคนพักเพียง 2,339 คน ยังเหลืออีกหมื่นกว่า
เมื่อถามว่า ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าเพราะมีการตรวจน้อย ประเทศจึงเจอผู้ป่วยน้อย นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ข้อกล่าวหานี้ถูกถามมาประจำ ซึ่งตัวเลขที่ถูกยกมา 2 หมื่นกว่านั้นเป็นตัวเลขเก่าที่เอาต์แล้ว แต่ตัวเลขล่าสุดคือ 142,589 ตัวอย่าง ในช่วงวันที่ 11-17 เม.ย. ตรวจได้ 21,715 ตัวย่าง แต่ถ้าดูเป็นรายวัน ตั้งแต่วันที่ 4-17 เม.ย. ยอดเฉลี่ยประมาณ วันละ 3,000 ตัวอย่างขึ้นไป และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในวันที่ 17 เม.ย.มีการตรวจไป 3,397 ตัวอย่าง เจอเพียง 1.41เท่านั้น หรือร้อยคนเจอคนครึ่ง หรือสองร้อยคนเจอ 3 คนโดยประมาณ ยืนยันว่าเราเจาะกลุ่มเสี่ยงที่มีความสำคัญจริงๆ นอกจากนี้ ล่าสุด สธ.ได้พัฒนาวิธีการตรวจใหม่ โดยตรวจน้ำลายแทนการตรวจสารคัดหลั่งในโพรงจมูก ซึ่งผลได้ในระดับหนึ่ง ง่าย และปลอดภัยกว่าการตรวจสารคัดหลั่งในโพรงจมูกที่ระหว่างดำเนินการอาจมีการไอจามได้ โดยเราจะมีการพัฒนาการตรวจนี้ให้ดีขึ้น
เมื่อถามว่า กรณีตัวเลขลดลงต่อเนื่อง ทำให้หลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานจะเสี่ยงติดโควิด-19 หรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เสี่ยงแน่นอน เพราะตอนนี้โรคยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้ โรคยังคงวนเวียนอยู่รอบๆตัวเรา เป็นเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็น อาจอยู่ในพี่น้องเราเอง ซึ่งเขาอาจไม่ได้แสดงอาการ แต่เราต้องป้องกันตัวเอง มันกระจายทั่วทั้งโลก ตัวเลขยังเป็นสีแดง ส่วนไทยเราซีลตัวเองไว้ไม่ให้คนติดเชื้อเดินทางมาประเทศเรา ส่วนที่ประเทศอื่นผ่อนคลาย เพราะเขามีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเรื่องความเสรี จึงเสียชีวิตหลักหมื่น เราก็ชอบเสรี แต่สภาวะแบบนี้ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เราเสียไปคือเสรี เรื่องสุขภาพต้องมาก่อนเราจึงมีชีวิตได้เห็นคนที่เรารัก เราพยายามคุมในทุกๆประด็น การออกมาจำนวนมากพร้อมๆ กัน จะเหลื่อมเวลากันได้หรือไม่ เช่น 75% ทำงานที่บ้าน อีก 25% ทำงานที่ทำงาน หมุนเวียนกันไป เป็นหลักการที่เราต้องไม่ย่อหย่อน เพราะต้องอยู่กับโรคนี้อีกนาน เชื่อว่าเราคุมได้
เมื่อถามว่า มีข่าวตำรวจเอาผิดคนไปตั้งจุดแจกข้าว ตรงนี้จะเปลี่ยนมาเป็นอำนวยความสะดวกได้หรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ฟังดูไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแบบนี้ คนที่นำสิ่งของมาแจกมีเจตนาดี แต่ถ้ามีวัตถุปะสงค์จะแจก ขอให้ประสานไปยังหน่วยงานของรัฐก่อน อย่างในกทม. นายกฯสั่งการให้เข้าไปช่วยจัดระเบียบและระบบให้ดี ถ้าจะบริจาคให้ประสานกับสำนักงานเขต ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวปลอมว่าจะมีการแจกเงินในจุดต่างๆ แต่ปรากฎว่าไม่มีการแจกจริงนั้น ตนไม่แน่ใจว่าการทำแบบนี้จะได้ประโยชน์อะไร การสร้างความหวังให้คนที่อยากมารับแต่มาแล้วเขาผิดหวังแล้วยังมีโอกาสติดโรคกลับไป ท่านไม่ได้บุญอะไรและได้ความรู้สึกไม่ดีกลับมา และอาจทำให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ขณะที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะมีการติดตามข่าวปลอมต่างๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี