ห้าม'รพ.เอกชน'ลักไก่ตั้งจุดตรวจโควิดในพื้นที่สาธารณะ- ห้าง-ปั๊ม ผวาเป็นจุดแพร่เชื้อ

ห้าม'รพ.เอกชน'ลักไก่ตั้งจุดตรวจโควิดในพื้นที่สาธารณะ- ห้าง-ปั๊ม ผวาเป็นจุดแพร่เชื้อ

วันเสาร์ ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563, 16.46 น.

กรม สบส.เตือน รพ.เอกชน ห้ามตั้งจุดบริการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ในพื้นที่สาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน หวั่นด่านหน้าป้องกันโรคฯจะกลายเป็นจุดแพร่เชื้อเอง

วันที่ 25 เมษายน 2563 นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 กรม สบส.ได้ออกประกาศ เรื่อง “แนวทางการให้บริการตรวจคัดกรองและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) นอกสถานพยาบาล” กำหนดให้สถานพยาบาลเอกชนสามารถออกให้บริการตรวจคัดกรองและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 นอกสถานพยาบาลเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออันตราย อีกทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน


โดยมีการแบ่งแนวทางการดำเนินการเป็น 2 กรณี ได้แก่ 1)กรณีสถานพยาบาลเอกชนเป็นคู่สัญญาหรือดำเนินการร่วมกับสถานพยาบาลภาครัฐหรือหน่วยงานของรัฐ อาทิ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ฯลฯ ให้สามารถดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เนื่องจากได้รับการยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล และ 2)กรณีสถานพยาบาลเอกชนดำเนินการด้วยตนเอง ให้สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฯ โดยให้ดำเนินการได้ ณ ที่พำนักของผู้ป่วย หรือสถานที่กักกันเป็นการชั่วคราว  ไม่ได้กระทำเป็นปกติธุระ ซึ่งที่ผ่านมาสถานพยาบาลเอกชนต่างก็ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมายเป็นอย่างดี

"แต่ก็มีสถานพยาบาลเอกชนบางแห่งยังดำเนินการไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขประกาศกระทรวงสาธารณสุขฯ จัดตั้งจุดบริการตรวจโรคโควิด-19 ในพื้นที่สาธารณะอย่างหน้าห้างสรรพสินค้า หรือปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งมีประชาชนสัญจรอย่างพลุกพล่าน ทำให้เกิดความเสี่ยงการแพร่กระจายของโรคหากผู้ป่วยโรคโควิด-19 เดินทางออกมารับบริการก็อาจจะเกิดการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเดินทางได้ ส่งผลให้หน่วยบริการตรวจคัดกรองฯ ที่ควรเป็นด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคกลับกลายเป็นจุดแพร่กระจายเชื้อ อีกทั้งอาจจะส่งผลให้การเก็บสิ่งส่งตรวจไม่เป็นไปตามมาตรฐาน"

นายแพทย์ธเรศ กล่าวต่อว่า เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่กระจายของโรคติดต่ออันตราย และให้สถานพยาบาลเอกชนมีการดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กรม สบส.ขอย้ำให้สถานพยาบาลเอกชนทุกแห่ง หากจะออกให้บริการตรวจคัดกรองและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 จะต้องดำเนินการ ณ ที่พัก หรือสถานที่กักกันเท่านั้น ห้ามตั้งจุดในพื้นที่สาธารณะ หรือแหล่งชุมชนที่มีการสัญจรพลุกพล่านโดยเด็ดขาด

หากกรม สบส.หรือสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ตรวจพบจะดำเนินการเอาผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ทันที  โดยผู้ดำเนินการสถานพยาบาลจะถือว่ามีความผิดในฐานไม่ควบคุมและดูแลให้ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพของตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากตรวจพบว่าผู้ให้บริการมิใช่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพระราชบัญญัติวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ พ.ศ.2547 ฐานประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นการจัดตั้งจุดบริการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ของสถานพยาบาลเอกชน ในพื้นที่สาธารณะหรือแหล่งชุมชนซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงให้เกิดการแพร่กระจายของโรค ในเขต กทม.ให้รีบแจ้งมาที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกรม สบส. หมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7057 หรือที่เฟซบุ๊ก : ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สบส. กระทรวงสาธารณสุข และในส่วนภูมิภาคให้แจ้งที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top