วันที่ 5 พ.ค.63 นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า ตามนโยบายนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ดำเนินการเด็ดขาดกับนายทุนผู้บุกรุกป่า
ในวันนี้ตนพร้อมด้วยนายปรยุษณ์ ไวว่อง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ นายยุทธพงศ์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติพุเตย (ชุดพญาเสือ) และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี จำนวน 10 นายและ น.ส.อริศา น้อยทิพย์ ตัวแทนของนายทุนคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวกรุงเทพฯ ได้ร่วมกันตรวจสอบที่ดินของนายทุนคนดังกล่าวจำนวน 25 ไร่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ที่อ้างว่า "มี ส.ค.1 และที่ดินดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนการครอบครอบที่ดินตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 ที่คณะกรรมการพิสูจน์สิทธิที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์จังหวัดกาญจนบุรี มีมติรับรองในปี พ.ศ.2552 ว่าอยู่อาศัยหรือทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณได้"
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากนายทุนคนดังกล่าวซึ่งมีภูมิลำเนาย่านถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเป็นกรรมการบริษัทห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้มอบอำนาจให้ น.ส.อริศา มาแจ้งการครอบครองในที่ดินอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2563 จำนวน 25 ไร่เพื่อสำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตามมาตรา 64 พ.ร.บ อุทยานแห่งชาติ 2562 ฉบับใหม่ ที่ให้สำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนในเขตป่าอนุรักษ์ให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดการสำรวจถือครองที่ดินของประชาชนในวันที่ 23 กรกฏาคม พ.ศ.2563 เมื่อสำรวจฯเสร็จแล้วจะตราเป็นพระราชกฤษฎีกาให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยต่อว่า โดยนายทุนคนดังกล่าวอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินมาก่อนประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเอราวัณโดยมีหลักฐานเป็น ส.ค.1 ในปี พ.ศ.2498 แต่ไม่ได้นำเอกสาร ส.ค.1 ตามที่ได้กล่าวอ้าง มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่แต่อย่างใดฯ และที่ดินดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนการครอบครอง ตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 เมื่อปี พ.ศ. 2552 ไว้แล้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จึงได้ตรวจสอบหลักฐานย้อนหลังของที่ดินดังกล่าว ปรากฏพบว่าที่ดินดังกล่าวนั้นนายทุนคนดังกล่าว เคยได้มอบผู้แทนให้มาแจ้งการครอบครองเมื่อปี พ.ศ.2552 โดยใช้หลักฐานใบ ภ.บ.ท.5 เนื้อที่ 24 ไร่ 3 งาน 39 ตารางวา ได้ที่ดินมาโดยการซื้อต่อมาจากชาวบ้านคนหนึ่ง และหลักฐาน ส.ค.1 เลขที่ 27 ปี พ.ศ.2498 เนื้อที่ 20 ไร่ ของนางไม้ ประทุมทอง
ต่อมาที่ดินดังกล่าวได้มีการรับรองขึ้นทะเบียนการครอบครองที่ดินตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 โดยคณะกรรมการตรวจสอบพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าอนุรักษ์จังหวัดกาญจนบุรี ครั้งที่ 1/2552 มีมติวันที่ 24 ก.ย.2552 รับรองว่า นายทุนคนดังกล่าว เป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงเลขที่ 51 เนื้อที่จำนวน 21 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา อยู่อาศัยหรือทำกิน ก่อนประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเอราวัณในปี พ.ศ. 2518 แปลงเลขที่ 51/1 และแปลงเลขที่ 51/2 เนื้อที่รวม 2 แปลงจำนวน 1 ไร่ 1 งาน 28 ตารางวา อยู่อาศัยหรือทำกินหลังประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณในปี พ.ศ. 2518
แต่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ได้รับคำแนะนำจากผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เห็นว่า มติของคณะกรรมการฯ ดังกล่าวเป็นเพียงการตรวจพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เบื้องต้น เพื่อนำเสนอขออนุมัติรับรองผลการตรวจพิสูจน์สิทธิการครอบครองต่อกรมอุทยานแห่งชาติฯ
จนถึงปัจจุบันนี้ กรมอุทยานแห่งชาติฯยังมิได้อนุมัติรับรองผลการตรวจพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของนายทุนคนดังกล่าวแต่อย่างใด ยังไม่อาจถือได้ว่านายคนดังกล่าวได้รับการผ่อนปรนให้อยู่อาศัยทำกินในที่ดินดังกล่าวตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 เทียบเคียงกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ อส .31/2559 ที่เคยวางบรรทัดฐานตัดสินไว้
ประกอบกับมีหนังสือกรมอุทยานแห่งชาติฯที่ ทส.0906.503/6461ลงวันที่ 12 เม.ย.2555 และหนังสือกรมอุทยานแห่งชาติฯที่ ทส.0906.503/4287 ลงวันที่ 27 ก.พ. 2558 ได้แจ้งให้ถือปฎิบัติเป็นแนวทางการพิสูจน์สิทธิตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 สรุปได้ว่า ราษฎรที่แจ้งการครอบครองที่ดินตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 ที่จะได้รับการผ่อนปรนให้อยู่อาศัยหรือทำกินตามมติครม.30 มิ.ย. 2541 นั้น จะต้องเป็นราษฎรเดิมที่อยู่อาศัย หรือทำกินด้วยตนเอง ก่อนหรือหลังวันประกาศสงวนหวงห้ามเป็นพื้นที่ตามกฎหมายครั้งแรกและต้องทำประโยชน์ต่อเนื่องด้วยตนเองจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2541 ด้วย จะมอบอำนาจการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามมติ ครม. 30 มิ.ย.2541 ในป่าอนุรักษ์ ให้แก่บุคคลอื่นไม่ได้ เพราะที่ดินในเขตดังกล่าว เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินไม่อาจโอนหรือซื้อขายกันได้
เมื่อพิจารณาหลักฐานแล้ว นายทุนคนดังกล่าว ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร จึงเป็นบุคคลภายนอกมิใช่เจ้าของเดิม ที่อยู่อาศัยหรือทำกินด้วยตนเองก่อนหรือหลังวันประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เมื่อปี พ.ศ.2518 และต้องทำประโยชน์ต่อเนื่องด้วยตนเองมาจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2541 และที่ดินแปลงดังกล่าว ได้มาจากการซื้อหรือโอนมาจากผู้อื่น นายทุนคนดังกล่าว จึงไม่ได้รับการผ่อนปรนให้อยู่อาศัย หรือทำกินในที่ดินตามมติ ครม.30 มิ.ย.2541 ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณได้
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จึงทำหนังสือที่ ทส.0913.603/ ลงวันที่ 1 พ.ค.2563 สั่งให้นายทุนคนดังกล่าวส่ง ส.ค.1 ตามที่กล่าวอ้าง และพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงว่าได้อยู่อาศัยหรือทำกินในที่ดินดังกล่าวด้วยตนเอง และต้องทำประโยชน์ต่อเนื่องด้วยตนเอง ก่อนหรือหลังประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติเอราวัณในปี พ.ศ. 2518 ภายในเวลากำหนดนับแต่วันที่ได้รับหนังสือจากอุทยานแห่งชาติเอราวัณ
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยต่ออีกว่า สำหรับ ส.ค.1 เลขที่ 27 ปี พ.ศ. 2498 เนื้อที่ 20 ไร่ของนางไม้ ประทุมทอง ที่นายทุนคนดังกล่าวนำมาอ้างเป็นหลักฐานการแจ้งการครอบครอง ในปี พ.ศ.2552 พร้อมกับหลักฐานใบ ภ.บ.ท.5 นั้นก็เป็น ส.ค.1 เลขที่ 27 ฉบับเดียวกันกับเจ้าของแคมป์ช้างคนหนึ่ง ที่มีที่ดินอยู่ติดกันที่ได้ถูกดำเนินในข้อหา บุกรุก ยึดถือ ครอบครอง ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ โดยมิได้รับอนุญาต ไปเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2560 ก็ได้อ้างว่าเป็นเจ้าของผู้ครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 27 ดังกล่าว และนำไปอ้างต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรลาดหญ้า จนอัยการจังหวัดกาญจนบุรีมีหนังสือที่ อส.0042 (กจ)/7719 ลงวันที่ 3 ต.ค. 2561 มีคำสั่งไม่ฟ้องเจ้าของแคมป์ช้างมาแล้ว
"วันนี้จึงได้นัด น.ส.อริศา ตัวแทนของนายทุนคนดังกล่าวมาร่วมกันตรวจสอบ ส.ค.1 เลขที่ 27 ปีพ.ศ.2498 จำนวน 20 ไร่ ของนางไม้ ประทุมทอง ที่นายทุนคนดังกล่าว เคยนำมาเป็นหลักฐานแจ้งการครอบครองในที่ดินอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ในปี พ.ศ.2552 ซึ่งผลการตรวจสอบ ปรากฏว่า ส.ค.1 เลขที่ 27 ดังกล่าว ไม่ตรงกับที่ดินของนายทุนคนดังกล่าวแต่อย่างใด" นายนิพนธ์ กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า นับต่อจากนี้หากนายทุนคนดังกล่าวไม่ส่ง ส.ค.1 ตามที่อ้างที่ได้แจ้งการครอบครองที่ดินในเขตอุทยานเอราวัณไว้ในวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา หรือพยานหลักฐานอื่นๆ ภายในเวลาที่กำหนดหรือส่งภายในเวลากำหนดแล้ว แต่มีหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือมีเหตุผลไม่เพียงพอ ถือได้ว่าไม่มีพยานหลักฐานมาหักล้างข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายของเจ้าหน้าที่ฯ ถือได้ว่านายทุนคนดังกล่าวเป็นผู้ครอบครองที่ดินตามมติ ครม.30 มิ.ย.41 ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในปี พ.ศ.2552 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
"นายทุนคนดังกล่าวจะต้องออกไปจากที่ดินดังกล่าวและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง พืชผล อาสิน ในที่ดินดังกล่าวไปให้พ้นจากอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ในเวลาที่กำหนด หากยังดื้อเเพ่งไม่ดำเนินการแล้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณจะเข้าแจังความดำเนินคดีตามมาตรา 19 ( 1) พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบมาตรา 59 ประมวลกฎหมายอาญา ข้อหา มีเจตนายึดถือ ครอบครอง ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งมีโทษหนัก ระวางโทษจำคุก 4 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนถึง 2 ล้านบาทต่อไป" นายนิพนธ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี