สธ.หวั่น2ปัจจัยชี้ชะตาไทยคุมโควิด"รอด-ไม่รอด" หลังผ่อนปรน6กลุ่มกิจการ เผย"สมคิด"จ่อถกภาคเอกชนร่วมมือ
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ข้อสังเกตหลังจากที่รัฐบาลได้มีการผ่อนปรนให้ 6 กลุ่มกิจการ ให้บริการแก่ประชาชนได้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า ปัจจัยความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดในไทยนั้น ประกอบ 2 ส่วนสำคัญ คือ 1.เรื่องของการสนับสนุนให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือ wfh โดยในส่วนของราชการนั้นจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ต้องไม่ต่ำกว่า 50% และเหลื่อมเวลาทำงานกัน
ขณะที่ในส่วนของภาคเอกชนนั้น ทราบว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจ จะได้ไปหารือกับภาคเอกชนเพื่อให้ดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็จะเกิดปัญหาตามมาได้ 2.มาตรการใช้บังคับใช้กฎหมายผู้ที่กระทำความผิดกรณีการมั่วสุมชุมนุม ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว โดยเฉพาะเรื่องของการขายสุรา ซึ่งจะต้องไม่หย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ ทั้งสองถือเป็นปัจจัยพื้นฐาน ด่านสำคัญต่อความสำเร็จ ก่อนนำมาสู่แผนและมาตรการการรองรับของกระทรวงสาธารณสุขในขั้นถัดไปในเรื่องของระบบการรักษาพยาบาล
ด้าน นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับโควิด 19 และการเว้นระยะห่าง หรือ ดีดีซี โพลล์ (DDC poll) 8 ครั้ง ตั้งแต่มกราคม - 5 พฤษภาคม 2563 ในกลุ่มตัวอย่าง 27,843 คน พบว่า การล้างมือด้วยน้ำและสบู่ และแอลกอฮอล์เจลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ ก่อนและหลังการรับประทานอาหาร จากครั้งที่ 1 ร้อยละ 61.2 เป็นร้อยละ 92.7 ในครั้งที่ 8 การสวมหน้ากากเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเพิ่มขึ้น จากครั้งที่ 1 ร้อยละ 56.2 เป็นร้อยละ 74.6 ในครั้งที่ 8 แต่มีอัตราการสวมหน้ากากลดลงจากครั้งที่ 5 ที่พบร้อยละ 94.9 ซึ่งเป็นช่วงที่มีรายงานผู้ป่วยจำนวนมาก ส่วนการสวมหน้ากากเมื่อไม่มีอาการเจ็บป่วย เพื่อป้องกันไม่ให้รับเชื้อลดลง จากครั้งที่ 3 ร้อยละ 93.5 เป็นร้อยละ 75.7 ในครั้งที่ 8 นอกจากนี้ ยังพบว่ามีประชาชนไม่สวมหน้ากากเพิ่มขึ้นเมื่อไม่มีอาการเจ็บป่วย เป็นร้อยละ 2.1
สำหรับการเว้นระยะห่าง พบว่า ประชาชนรับรู้ว่าต้องเว้นระยะห่างจากผู้อื่น 1 - 2 เมตร เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 72.3 เป็นร้อยละ 94.1 แต่การลดความถี่และระยะเวลาในการไปในพื้นที่สาธารณะไม่เปลี่ยนแปลงมาก อาจเป็นเพราะประชาชนเชื่อว่า การเว้นระยะห่างทางกายช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อลดลงจากร้อยละ 84.8 เป็นร้อยละ 78.1
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี