สุดรันทด! สื่อนอกตีข่าว‘ล็อกดาวน์’ทำคนไทยต้องอยู่ด้วยของบริจาคนานนับเดือน-ต้องปิดบังกลัวคนรู้จักจำได้
11 พ.ค. 2563 สำนักข่าว UCA News เครือข่ายสื่อมวลชนคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกในทวีปเอเชีย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่บนเกาะฮ่องกง เสนอข่าว “Thailand's poor want to return to work, end lockdown” เล่าถึงกรณีรัฐบาลไทยใช้มาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) ปิดกิจการต่างๆ ให้เหลือเท่าที่จำเป็นเพื่อตัดการรวมกลุ่มชุมนุมซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ชีวิตคนนับล้านตกอยู่ในสถานะไม่มั่นคงและบางคนต้องดำรงชีพด้วยการรับแจกอาหารจากผู้ใจบุญไปวันๆ หนึ่ง
อาทิ Jay ชายหนุ่มที่เดิมมีอาชีพเป็นนักดนตรีในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย เล่าว่า เมื่อสถานที่ต่างๆ ถูกปิด ตนใช้ชีวิตบนท้องถนนนานแรมเดือนโดยไม่มีรายได้ ดำรงชีพด้วยอาหารแจกจากผู้มีจิตเมตตาและน้ำร้อนจากตู้กดน้ำในตลาด ซึ่งภาพทำนองเดียวกันสามารถพบเห็นได้บริเวณย่านเก่าของกรุงรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยควบคุมความสงบเรียบร้อยในยามที่มีอาสาสมัครนำอาหารมาแจก ขณะที่ประชาชนที่มารับอาหารหลายคนก้มหน้าด้วยความละอายเพราะกลัวคนที่รู้จักจะจำได้
หนึ่งในผู้นำอาหารมาแจกจ่าย กล่าวว่า ในแต่ละวันจะมีผู้มารับอาหารแจกนับร้อยคน คนไทยที่ยากจนกำลังหิวโหย ในกรณีที่ไม่มีบริการสังคมอย่างแท้จริง การแจกจ่ายเหล่านี้ทำกันเองโดยภาคเอกชน โดยคนในท้องถิ่นที่มีความปรารถนาดีที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือโดยศาสนสถานซึ่งเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากกรุงเทพฯ ที่เมืองพัทยา เมืองชายทะเลที่รายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว ในตอนแรกมีผู้คนทำอาหารเช้ามาแจกจ่ายตั้งแต่เวลา 04.00 น. แต่รัฐบาลกลับสั่งห้ามเพราะกลัวการรวมกลุ่มจะทำให้เกิดโรคระบาด โดยให้ไปขอรับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อให้อำนวยความสะดวก
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ผู้มารับอาหารแจกส่วนใหญ่ไม่ใช่ขอทาน แต่เป็นคนทั่วไปที่ยังทำงานอยู่หากแต่พวกเขาเป็นคนทำงานในภาคการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 อาทิ คนขับรถสามล้อเครื่องวัย 60 ปีรายหนึ่ง เล่าว่า แม้ตนจะพยายามออกมาทำงาน แต่ทั้งวันมีรายได้เพียง 1-2 เหรียญสหรัฐ หรือราว 35-70 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นคนนำสินค้ามือสองออกมาขาย มีแม้กระทั่งผู้หญิงที่เป็นคนจากยุค 1980s (ปี 2523-2532) เข็นรถเข็นรวบรวมสิ่งของโดยขอส่วนแบ่งจากเจ้าของสิ่งของนั้นหากขายสินค้าได้
ในช่วงเย็น คนที่ไม่มีบ้านอยู่อาศัยต้องหาที่หลับนอนอย่างระมัดระวัง ประเทศไทยมีการบังคับใช้มาตรการห้ามออกจากเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว ในเวลา 22.00-04.00 น. ที่ผ่านมามีกรณีคนไร้บ้านถูกปรับที่ จ.เชียงใหม่ ทางตอนเหนือของประเทศ อนึ่ง การปิดสถานบันเทิงไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร บาร์และอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยปิดแม้เมืองหลวงของไทยจะเกิดเหตุชุมนุมทางการเมืองและการปฏิวัติรัฐประหาร การปิดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ขายบริการทางเพศนับแสนคนในประเทศไทย คนกลุ่มนี้มีสถานะเปราะบางเพราะเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือของรัฐ
นอกจากคนไทยแล้ว แรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ลาว กัมพูชา ที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้เนื่องจากมีการปิดพรมแดน ก็เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ อาทิ Sothea Ly หญิงชาวกัมพูชา ที่เล่าว่าตนถึงขั้นขอหางานทำโดยไม่หวังค่าจ้างเป็นเงิน เพียงมีที่พักกับอาหารก็พอ แต่สำหรับอีกบางคน เมื่อหมดหนทางไปต่อ สุดท้ายความตายจึงเป็นคำตอบ มีรายงานว่าตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 พบเหตุการณ์คนไทยฆ่าตัวตายประมาณ 40 ราย ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาความยากจน ตัดกับอีก 55 รายที่ตายเพราะป่วยจากติดเชื้อโควิด-19
อัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 10 ซึ่งประเทศไทยเดิมทีก็มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อยู่แล้ว ทั้งแม่ที่ไม่สามารถเลี้ยงลูก 2 คนได้อีกต่อไปจากอาชีพขายนมเปรี้ยว คนขับรถแท็กซี่ที่ถูกปฏิเสธจากมาตรการเยียวยาเป็นเงิน 155 เหรียญสหรัฐ หรือ 5,000 บาทของรัฐบาล หรือเจ้าของร้านอาหารเล็กๆที่เพิ่งกู้เงินมาลงทุน
สาธิต ปิตุเตชะ (Satit Pitutecha) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย ยอมรับว่า ยอดผู้ใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิตในเดือนล่าสุด (มี.ค.2563-ผู้แปล) อยู่ที่ 600 ครั้ง สูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่มีเพียง 30 ครั้ง ล่าสุดรัฐบาลไทยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ลง เช่น การอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในลักษณะนำกลับไปดื่มที่บ้าน อนึ่ง สถานการณ์ปัจจุบันเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่เกิน 10 รายมาเป็นเวลาหลายวัน คนไทยจำนวนมากจึงเริ่มไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะคงมาตรการรุนแรงที่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป
ขอบคุณเรื่องจาก www.ucanews.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี