ตลาดสด-ร้านเสริมสวยมีปัญหา
เริ่มการ์ดตก!
ไม่สวมหน้ากาก-เว้นระยะห่าง
สธ.ห่วงคนแห่เข้าห้างแน่น
กรมอนามัยมอนิเตอร์เข้ม
ไม่ควรเกิดซ้ำ-ผิดปกติสั่งปิด
ป่วยใหม่อีก3ติดจากที่ทำงาน
ศบค.ย้ำถ้าทำดีเฟส3เกิดแน่
ไทยพบติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 3 ราย ประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ มี 2 รายติดจากทำงานในสถานที่ราชการ กทม. ทำยอดสะสมอยู่ที่ 3,031 ราย ผลสำรวจ สธ. 6 กิจการ-กิจกรรมผ่อนปรนเฟสแรก การ์ดเริ่มตก พบตลาดสด แออัด-ไม่เว้นระยะห่าง ร้านเสริมสวย ไม่สวมหน้ากากอนามัย ส่วนแผงลอย-สวนสาธารณะ สนามกีฬาต้องปรับปรุงความสะอาด โหลด“ไทยชนะ”ทั่วประเทศกว่า 2.7 ล้านคน ร้านอาหารลงทะเบียนอันดับ 1 กรมอนามัยมอนิเตอร์ห้างเข้ม หลังพบเปิดวันแรกปล่อยคนเข้าแห่เข้า ย้ำขอให้เป็นบทเรียนที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดในประเทศไทยประจำวันว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,031 ราย หายป่วยสะสม 2,857 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมยังคงอยู่ที่ 56 ราย อยู่ระหว่างรักษา 118 ราย ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยยืนยันตามพื้นที่ที่รักษาในกรุงเทพฯ และนนทบุรี 1,705 ราย ภาคเหนือ 95 ราย ภาคกลาง 393 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 111 ราย ภาคใต้ 727 ราย หายป่วยแล้ว 2,857 ราย เพิ่ม 1 ราย
เพิ่ม3รายติดจากผุ้ป่วยยืนยัน
สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า โดย 2 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 29 ปี และชายไทย 55 ปี ติดเชื้อจากหน่วยงานราชการในกทม. ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งสถานที่ราชการดังกล่าวพบผู้ติดเชื้อแล้ว 6 ราย กรมควบคุมโรคกำลังติดตามผู้ที่ใกล้ชิด เพื่อให้เข้ารับการตรวจต่อไป ส่วนอีก 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 27 ปี เป็นพนักงานขายสินค้าที่ จ.ภูเก็ต มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันที่ทำงานที่จ.ภูเก็ต และเดินทางกลับไปจ.ปราจีนบุรี ทั้งนี้ จากข้อมูลของจ.ภูเก็ต มีผู้ที่เดินทางออกจาก จ.ภูเก็ตและตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในเดือนมีนาคม 7 คน เมษายน 6 คน และพฤษภาคม 2 คน โดยการเดินทางข้ามจังหวัดประชาชนมีอิสระ แต่ต้องเข้าใจว่ามีความเสี่ยง หากมีอาการต้องรีบเข้าตรวจ
ตลาด-ร้านเสริมสวยการ์ดหย่อน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สำหรับผลเฝ้าระวังตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารรณศุข ที่ออกสำรวจ 6 กิจการ-กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนปรนระยะที่ 1 ระหว่างวันที่ 7-15 พฤษภาคมจำนวน 2,375 กิจการ/กิจกรรมทั่วประเทศ พบว่า ในตลาดสด ประชาชนสวมหน้ากาก มีจุดล้างมือ ซึ่งทำได้ดี แต่ยังต้องพัฒนาเรื่องความแออัด ระยะเวลาอยู่ในตลาดนานเกินไป ไม่เว้นระยะห่าง ส่วนร้านอาหารแผงลอย มีจุดล้างมือดี แต่ต้องปรับปรุงการทำความสะอาดพื้นผิว ขณะที่สวนสาธารณะ สนามกีฬา ประชาชนร่วมมือใส่หน้ากากเป็นอย่างดี มีการเว้นระยะห่าง แต่ยังต้องปรับปรุงเรื่องการทำความสะอาดอุปกรณ์บ่อยๆ ส่วนร้านเสริมสวย มีการเว้นระยะบุคคล แต่ต้องพัฒนาเรื่องการสวมหน้ากากและภาชนะรองรับขยะ
โหลดไทยชนะ2.6ล้าน-ร้านอาหารที่1
นพ.ทวีศิลป์ยังกล่าวว่า ความคืบหน้าการใช้บริการเว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 17 พฤษภาคม มีร้านค้าลงทะเบียน 44,386 แห่ง ผู้ใช้งาน 2,002,897 คน จำนวนเช็กอิน 2,658,754 ครั้ง เช็กเอาท์ 1,845,191 ครั้ง ประเมินร้าน 1,258,261 ครั้ง และขณะนี้มีร้านค้ามาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้ประกอบการที่มาลงทะเบียนมากที่สุดคือ ร้านอาหาร รองลงมาคือ ห้างสรรพสินค้า ส่วนสถานที่ที่ประชาชนใช้บริการมากที่สุดคือ ห้างสรรพสินค้า รองลงมาคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร แต่ปัญหาที่พบคือ คนเช็กอินแล้วไม่เช็กเอาท์ทำให้มีปริมาณประชาชนในพื้นที่นั้นๆ มากกว่าความเป็นจริง ทำให้คนอื่นเข้าไม่ได้ ซึ่งประชาชนอาจจะลืมเช็กเอาท์ อีกสาเหตุหนึ่งพบว่าคิวอาร์โค้ดที่ใช้เช็กเอาท์ติดไว้จำนวนน้อย จึงขอความร่วมมือให้สถานประกอบการติดคิวอาร์โค้ดให้ทั่วถึง ยืนยันข้อมูลดังกล่าวจะอยู่ที่กรมควบคุมโรค ไม่มีการนำข้อมูลไปทำอย่างอื่น
ชี้ทำระยะ2ดีมีผ่อนปรนระยะ3แน่
โฆษก ศบค.กล่าวด้วยว่า ส่วนที่มีภาพประชาชนจำนวนมากไปแออัดก่อนเข้าห้างสรรพสินค้าในวันแรกที่เปิดให้บริการหลังการผ่อนปรนนั้น มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 เพิ่งผ่านไป 1 วัน เราต้องเรียนรู้ไปพัฒนาด้วยกัน ส่วนตัวขอบคุณประชาชนและร้านค้าที่ให้ความร่วมมือ ได้เห็นภาพการผ่อนคลายของประชาชน ทำให้เศรษฐกิจกลับมาหมุนเวียน แต่อย่างไรก็ตาม เราเพิ่งผ่อนปรนระยะที่ 2 มาไม่กี่วัน จะให้เนี้ยบให้ดีคงเป็นไปไม่ได้ ต้องมีขรุขระไม่สะดวกสบายบ้าง เราเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาไปด้วยกัน พรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ถ้าทำกันได้อย่างดีระยะที่ 2 ที่เสี่ยงปานกลาง ในระยะที่ 3 ที่เสี่ยงสูงจะเกิดขึ้นได้ ย้ำว่าถ้าทำระยะที่ 2 ได้ดี ระยะการผ่อนปรนที่ 3 มีแน่นอน
สธ.ห่วง3รายใหม่ติดจากการทำงาน
ด้านนพ.อนุพงค์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)แถลงว่า สถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 3 คน เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ เกิดการติดเชื้อจากการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการติดเชื้อที่พบว่า ร้อยละ 50 เป็นการติดเชื้อในครอบครัว จึงเป็นสาเหตุต้องให้คำแนะนำว่า คนในครอบครัว ควรเว้นระยะห่างกัน และแยกสำรับอาหาร ขณะที่ร้อยละ 26 ติดเชื้อในการทำงานใกล้ชิดกัน ทั้งทำงานหรือรับประทานร่วมกัน ดังนั้น ควรเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย เป็นเรื่องสำคัญมาก
ชูคนแน่นห้างเป็นบทเรียนอย่าให้เกิดอีก
นพ.อนุพงค์กล่าวต่อว่า การติดเชื้อจากที่ทำงานหรือจากที่บ้าน เกี่ยวเนื่องกับการอยู่ด้วยกัน ดังนั้น ใครออกมานอกบ้าน ถือว่าเสี่ยง และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม เป็นวันผ่อนปรนมาตรการกิจกรรม-กิจการ มีการเปิดห้างสรรพสินค้าเป็นวันแรก ภาพที่เห็นคนเดินห้างกันจำนวนมาก แออัดกันสูงมาก ภาพเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้น วันแรกของการเปิดห้างยังพอรับได้ แต่วันถัดไปจากนี้ ผู้ประกอบการ ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ต้องปฏิบัติและทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เริ่มตั้งแต่คัดกรอง ก่อนเข้าห้าง เว้นระยะห่าง ลดความแออัด ประชาชนที่มาใช้บริการต้องใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ และประชาชนทั่วไปต้องหมั่นสังเกต หากต้องการเดินห้าง แต่เห็นว่ามีความแออัด แน่น ต้องไม่เข้าไป ไม่เช่นนั้นจะติดโรคได้
“ระยะหลัง การพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด -19 ในคนที่ผลตรวจยืนยันเป็นบวก แต่กลับพบว่า มีอาการน้อย บางคนไม่มีอาการ ที่น่าสังเกตคือ ผู้สัมผัสเกี่ยวข้องก็ไม่มีอาการแต่การตรวจเชื้อกลับพบเป็นบวกเช่นกัน ฉะนั้นการเดินห้างสรรพสินค้า ที่เบียด เสียด หนาแน่น ไม่มีทางรู้ได้ว่าใครได้รับเชื้อโควิด -19 แต่จะสามารถแพร่เชื้อโรคได้ ทั้งที่ไม่แสดงอาการ”นพ.อนุพงศ์กล่าว
เข้าหน้าฝนวินิจฉัยโรคยาก
และว่า ขณะนี้ไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีองค์วามรู้ที่แน่ชัด เกี่ยวกับโควิด-19 เนื่องจากเป็นโรคอุบัติใหม่ แต่การรอดชีพในสิ่งแวดล้อมของเชื้อโควิด-19 ซึ่งอยู่ในกลุ่มไวรัสเดียวกับ ซาร์ส เมอร์เอง ก็พบว่า ปัจจัยสำคัญคือความร้อนกับความชื้นมีผล โดยฤดูฝน มีความชื้น อุณหภูมิลดลง เชื้อไวรัสจึงอยู่ได้นาน แต่ในการวินิจฉัยในช่วงฤดูฝน แพทย์ต้องหมั่นสังเกต เพราะหากโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่คล้ายคลึงกันมากด้วยอาการไข้สูง แต่ไข้หวัดใหญ่ การดำเนินของโรคช้ากว่า และไม่ใช่ทุกรายจะปอดอักเสบ แต่ในผู้ป่วยโควิด-19 การดำเนินของโรคเร็วและ เสี่ยงปอดอักเสบง่าย การตรวจยืนยันโควิด-19 หากพบว่าผลเป็นลบ ต้อง ตรวจสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ซ้ำด้วยเพื่อการรักษาที่แม่นยำ เพื่อรับยาทามิฟูล
กรมอนามัยย้ำต้องจำกัดคน
ขณะที่พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงภาพที่มีคนไปใช้บริการห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในลักษณะหนาแน่น ไม่เว้นระยะห่างทางสังคมว่า เข้าใจว่าเป็นวันแรก หลังไม่ได้ไปห้างมานาน ขอเตือนประชาชนว่าก่อนไปซื้อของในห้าง จะเปลี่ยนแปลงไปไม่เป็นในรูปแบบเดิมอีกต่อไปคือ ต้องจดรายการที่ต้องการซื้อ และไปซื้อสินค้าโดยใช้เวลาอยู่ในห้างให้น้อยที่สุด จากภาพที่ออกมาเป็นห้าง สรรพสินค้าที่ขายสินค้าชิ้นใหญ่ ซึ่งมองว่าหลายคนไม่จำเป็นไปเดิน อย่างไรก็ตาม หวังว่าเหตุการณ์นี้จะคลี่คลายเมื่อทุกคนตระหนักถึงความเสี่ยงแพร่ได้รับเชื้อได้ ส่วนผู้ประกอบการต้อง ใช้มาตรการหลักทั้งดูแลทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วม ส่วนมาตรการเว้นระยะห่างที่มีแพลทฟอร์ม “ไทยชนะ” เป็นตัวช่วยอยู่นั้น ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งนอนใจ ขอย้ำว่า หากผู้ประกอบการปล่อยให้เกิดภาพคนแออัดเข้าไปในห้างสรรพสินค้า สธ.ผู้เกี่ยวข้องมอนิเตอร์ ตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา หากพบผิดปกติ จะใช้ มาตรการสั่งปิดเพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องได้
ลงทะเบียน”ไทยชนะ”กว่า2.7ล.
ส่วนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยหลังติดตามสถานการณ์ใช้งานแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” วันแรกที่เปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนที่ https://bit.ly/2zKjdkI ว่า วันที่ 17 พฤษภาคม มีประชาชนร่วมมือเป็นอย่างดี มีปริมาณผู้ใช้งานทั้งประเทศแล้วกว่า 2 ล้านคน โดยข้อมูลล่าสุด วันที่ 18 พฤษภาคม เวลา 6.00 น. มียอดผู้ใช้บริการ 2,725,877 คน ที่มา check in และ check out ร้านค้าที่เข้าร่วม 46,744 ร้านค้าทั่วประเทศ ใน 1 นาทีมีผู้ใช้งานเฉลี่ย 4,000 คนสำหรับแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” นี้ ทำมาเพื่อผู้ประกอบการและประชาชน ก่อนกลับมาเปิดกิจการก็ต้องดำเนินการตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข อาทิ ตรวจคัดกรอง รักษาระยะห่าง รักษาความสะอาด จะมีคิวอาร์โค้ดให้ประชาชนสแกนก่อนเข้าใช้บริการ และรู้ว่าสถานที่แห่งนั้นมีคนหนาแน่นเกินกำหนดหรือไม่ และสามารถประเมินการให้บริการ เท่ากับว่ามีส่วนช่วยดูแลสังคม
“แอพฯ“ไทยชนะ” ไม่ใช่คำตอบควบคุมโควิด-19 ทั้งหมด แต่เป็นตัวช่วยประเมินสถานการณ์ได้ดีและรวดเร็วขึ้น ทุกคนก็ต้องช่วยดูแลสังคม ปรับวิถีชีวิตใหม่ สิ่งที่ดีที่สุดคือ ปฏิบัติตัวตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัด” นายพุทธิพงษ์กล่าว
จนท.กกต.ติดเชื้ออีก2
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานประจำสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รายงานว่า จากกรณีศบค.แถลงตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 3 ราย ในจำนวนนั้นมีรายงานว่า 2 รายเป็นเจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและวินิจฉัยคดีของสำนักงาน กกต. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนงานเดียวกับที่พบผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 4 ราย โดย 2 รายล่าสุดที่พบมาจากทางสำนักงาน กกต. ประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจเชื้อให้เจ้าหน้าที่กกต.ในกลุ่มที่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ 4 รายก่อนหน้านั้นซ้ำเมื่อวันที่ 14 พฤษศภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าในรายที่ 4 นั้นตรวจรอบแรกหลังนิติกรคนแรกติดเชื้อ ผลตรวจเจ้าหน้าที่คนที่ 4 ไม่พบเชื้อ แต่ได้กักตัวที่บ้าน 14 วัน เมื่อใกล้ครบกำหนดเกิดมีอาการไอ จึงไปตรวจและพบติดเชื้อ ทำให้สำนักงานฯกังวลว่าอาจมีผู้ติดเชื้อแต่ไม่ปรากฎอาการอยู่ ประกอบกับครบระยะเวลาปิดสำนักวินิจฉัยและคดีจุดที่พบเชื้อ เริ่มเปิดให้เจ้าหน้าที่มาปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม
ดังนั้น เพื่อความมั่นใจกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น จึงประสานสธ.มาตรวจคนใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันกลุ่มแรก 4 คน จนพบผู้ติดเชื้ออีก 2 รายดังกล่าว ซึ่งทั้งสองรายไม่ปรากฏอาการ สรุปแล้วจนถึงขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ กกต.ติดเชื้อโควิด-19 แล้วรวม 6 ราย และหลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทำให้สำนักงาน กกต.สั่งปิดสำนักงานวินิจฉัยและคดีต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม ให้เจ้าหน้าที่ทำงานบ้าน ส่วนจะเปิดทำการเมื่อใดจะประเมินอีกครั้งใกล้วันที่ 30 พฤษภาคม
เรียนออนไลน์วันแรกชุลมุน
อีกด้านหนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศทดลองการเรียนการสอนออนไลน์วันแรกทั่วประเทศ โดยนักเรียนเรียนอยู่ที่บ้าน ซึ่งเริ่มเรียนตั้งแต่เวลา 08.30 น.ว่า ในวันแรกระบบการถ่ายทอดมีปัญหา เช่น ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปบ้านนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่ง ชั้น ม.3 ที่รอเรียนออนไลน์ตามตารางเรียน แต่ทั้งทีวีดิจิทัลช่อง 48 สำหรับ ม.3 เป็นโฆษณาขายสินค้า ไม่ได้มีการถ่ายทอดวิชาที่เรียน รวมทั้งได้เข้าไปเรียนผ่านเว็บไซต์ทาง DLTV ทั้งทางโทรศัพท์มือถือและโน้ตบุ๊ก ก็ไม่สามารถเข้าได้
ที่ จ.นครราชสีมา เด็กหลายคนตื่นตัว เตรียมอุปกรณ์มารอเวลาเริ่มเรียนออนไลน์ผ่านหน้าจอทีวี ส่วนใหญ่บอกตรงกันว่า ตื่นเต้นที่ได้เรียนระบบใหม่ ขณะที่บางครอบครัวประสบปัญหาการเรียน เนื่องจากใช้ทีวีรุ่นเก่า สัญญาณหนวดกุ้ง ไม่สามารถดูได้ อย่างครอบครัวของนางสำราญ เนรจิต อายุ 54 ปี หมู 4 บ้านโค้กมะกอก ต.เมืองปราสาท อ.โนนสูง ที่มีหลานชาย 2 คน เรียนอยู่ชั้น ป.2 และชั้น ป.6 ต้องได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต แถมทีวีเป็นรุ่นเก่า ระบบเสาหนวดกุ้ง จึงเข้าดูไม่ได้
หลายครอบครัวอุปกรณ์ไม่พร้อม
เช่นเดียวกันกับครอบครัวนางพัด จามจอหอ อายุ 60 ปี มีลูกและหลาน 4 คน แต่ละคนเรียนอยู่คนละระดับชั้น คือ ป.1 ป.4 ป.6 และ ม.1 ต้องดูทีวีหลายเครื่อง แต่ที่บ้านมีทีวีเครื่องเดียว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อีกทั้ง ไม่มีอินเทอร์เน็ต จึงอยากเรียกร้องให้ภาครัฐหาแนวทางการเรียนการสอนในระบบที่เด็กทุกคนมีโอกาสเรียนเท่าเทียมกัน หากจะให้ลงทุนซื้อทีวีและติดอินเทอร์เน็ต ต้องใช้เงินจำนวนมาก ทำให้เดือดร้อน เพราะทางบ้านฐานะยากจน
ที่ จ.เลย น.ส.นิภาภรณ์ จันทร์ศิริ ผู้ปกครอง ด.ช.ธนภัทร จันศิริ นักเรียน ชั้น ป 2 โรงเรียนเมืองเลยเผยว่า ที่บ้านเป็นกล่องรับสัญญาณ ทรู เคเบิล ตั้งแต่ 08.30-09.30 น.ยังไม่สามารถรับชม การเรียนการสอนของระดับชั้น ป.2 ได้ เนื่องจากมีลูก 3 คนมีการเรียนการสอน 3 ระดับ มีคอมพิวเตอร์ ทีวี ก็ยังไม่สามารถรับชมการถ่ายทอดการเรียนการสอนของชั้น ป 2 ได้ แต่ที่ www โรงเรียนเมืองเลย เปิดให้เรียนได้ระดับชั้น ป 4 ที่ถ่ายทอดสดมาเอง เนื่องจากครูในโรงเรียนบันทึกเทปและจัดการเรียนการสอนเองได้ วันนี้วันแรกก็เป็นวันที่วุ่นมากพอสมควร
นายกฯแจงเรียนออนไลน์แค่ช่วงโควิด
ในเรื่องนี้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ว่า เป็นการแก้ปัญหาช่วงรอเปิดเรียนเดือนกรกฎาคม เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นจะกลับมาเรียนในห้องเรียนตามปกติ ส่วนปัญหาต่างๆ เช่น เข้าไม่ถึงระบบ ค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ ภาระดูแลของผู้ปกครอง และความรับผิดชอบของผู้เรียนที่ต้องมีวินัยติดตามการเรียนด้วยตนเองนั้น รัฐบาลนำมาพิจารณาแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ เบื้องต้นจะมุ่งไปที่ลดเวลาเรียนในห้องเรียน ความพร้อมผู้ปกครอง รวมทั้งลดภาระส่งเด็กไปโรงเรียน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาจราจรอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ มอบหมายหน่วยงานด้านการศึกษาเร่งชี้แจง ทำความเข้าใจต่อข้อกังวลของประชาชน และผู้ปกครอง ต้องขอความร่วมมือช่วยกันผ่านช่วงนี้ไปก่อน จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 ยุติลง
อัยการ ส่งฟ้อง “บรรยิน” กับพวก 6 คน 9 ข้อหาหนัก คดีอุ้มฆ่า
พี่ชายผู้พิพากษาอาวุโส หวังล้มคดี
โกงหุ้นเสี่ยจืด 240 ล้าน เปิดคำฟ้องอัยการ พบพฤติการณ์สุดโหด ไม่ยำเกรงกฏหมาย ขอลงโทษสถานหนัก พร้อมคัดค้านประกันตัว หวั่นหลบหนี คดีอัตราโทษสูง ขณะที่ ศาลเตรียมสอบคำให้การผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดสอบคำให้การจำเลยทั้งหก19 พ.ค.
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา3และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเปิดเผยว่า ตามที่ นายเจษฎา อรุณชัยภิรมย์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราบเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมานั้นโดยคดีดังกล่าวมี นางสาวพนิดา สกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโสศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นผู้กล่าวหา ผู้ต้องหา มีทั้งหมด 7 คนได้แก่พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ผู้ต้องหาที่ 1 นายมานัส ทับทิม ที่ 2 นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ ที่ 3 นายชาติชาย เมณฑ์กูล ที่ 4 นายประชาวิทย์ ศรีทองสุข ที่ 5 ดาบตำรวจ ธงชัย หรือ สจ.อ้อด วจีสัจจะ ที่ 6 ชายไทยไม่ทราบชื่อ ที่ 7 ซึ่งคดีนี้ สืบเนื่องจากนายวีรชัย สกุนตะประเสริฐ พี่ชายของผู้พิพากษาท่านดังกล่าวถูกอุ้มฆ่า
อัยการสั่งฟ้อง’บรรยิน’กับพวก
มูลเหตุสืบเนื่องจากการทำหน้าที่ ผู้พิพากษาของนางสาวพนิดา ซึ่งมี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ เป็นจำเลยในคดีอาญาเรื่องอื่นเมื่อได้รับสำนวนแล้วต่อมานายเจษฎา อรุณชัยภิรมย์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 ซึ่งมีนายพรพิชัย ไชยมาตร อัยการพิเศษฝ่าย คดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดี เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญซึ่งกลุ่มคนร้ายผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมอุกอาจ ประชาชนและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจติดตามความคืบหน้าคดีมาอย่างต่อเนื่อง นายพรพิชัย ไชยมาตร อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต3 จึงมีคำสั่งของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 ที่ 5/2563 แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมกันพิจารณาคดีนี้ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547
ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วย นายบุญยัง จุมพล อัยการผู้เชี่ยวชาญ นายไพบูลย์ วนพงศ์ทิพากร อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นคณะทำงาน พ.ต.อ.ธงชัย กีรติธรรมากร อัยการประจำกอง เป็นคณะทำงานและเลขานุการ และนายพรพิชัย ไชยมาตร อัยการพิเศษฝ่ายฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงานซึ่งคณะทำงานได้ร่วมกันพิจารณาสำนวนการสอบสวนโดยละเอียดรอบคอบแล้วได้เสนอความเห็นไปยังนางสิริญา อินทามระ รองอธิบดีอัยการคดีปราบปรามการทุจริตและนายเจษฎา อรุณชัยภิรมย์ อธิบดีอัยการคดีปราบปรามการทุจริต ซึ่งเห็นพ้องตามที่คณะทำงานเสนอ โดยสั่งฟ้องพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ผู้ต้องหาที่ 1 นายมานัส ทับทิม ที่ 2 นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ ที่ 3 นายชาติชาย เมณฑ์กุล ที่ 4 นายประชาวิทย์ ศรีทองสุข ที่ 5 และดาบตำรวจธงชัยหรือ สจ.อ้อด วจีสัจจะ ที่ 6
ทั้งหมดโดน 9 ข้อหาหนัก
ในข้อหา 1.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ 2.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย 3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4.ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป 5.เป็นซ่องโจรโดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต 6.ร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป 7.ร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตาย 8.ร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี 9.ร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน และ เฉพาะ พ.ต.ท.บรรยิน ผู้ต้องหาที่1 ถูกฟ้องเพิ่มเติมในข้อหาสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิและแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิเพื่อกระทำผิดอาญาอีกด้วย
นอกจากนี้ พนักงานอัยการ ยังขอให้นับโทษ พ.ต.ท.บรรยิน ผู้ต้องหาที่1ต่อจากโทษจำคุกของศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขคดีแดงที่636/2563ที่ศาลลงโทษจำคุก พ.ต.ท.บรรยิน ในคดีปลอมเอกสารโอนหุ้น เสี่ยชูวงศ์ และนับโทษต่อจากโทษในคดีหมายเลขคดีดำที่ 4915/2559 ของศาลอาญาพระโขนงซึ่งพนักงานอัยการฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ข้อหาฆ่า เสี่ยชูวงศ์โดยขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอีกด้วย
นายประยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่าในวันนี้ (18 พ.ค.)พนักงานอัยการได้นำสำนวนไปยื่นฟ้อง พ.ต.ท บรรยิน กับพวกรวม6 คน เป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางแล้ว ซึ่งคดีนี้พนักงานอัยการไม่ต้องส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง6 คน เพราะผู้ต้องหาถูกควบคุมอยู่ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างฝากขัง ซึ่งขั้นตอนต่อไปศาลอาญาคดีทุจริตฯจะเบิกตัวจำเลยทั้งหมดมาสอบคำให้การว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธซึ่งคดีนี้ไม่ว่าจำเลยจะให้การอย่างไร พนักงานอัยการก็ต้องสืบพยานเพราะเป็นคดีมีโทษประหารชีวิต สำหรับคดีนี้แม้เป็นคดีฆาตกรรมแต่ทางคดีมีข้อหาข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบต่อหน้าที่รวมอยู่ด้วยคดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559มาตรา3พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องรวมทุกข้อหาในคดีนี้ต่อศาลดังกล่าว
ศาลเตรียมสอบคให้การผ่านวิดีโอ
ด้านนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่าภายหลังอัยการได้ยื่นฟ้องพ.ต.ท.บรรยิน กับพวกเป็นจำเลยที่ 1-6 แล้ว ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ศาลอาญาคดีทุจริตฯได้กำหนดนัดสอบคำให้การจำเลยทั้งหก ในวันที่ 19พ.ค.เวลา 09.30 น โดยศาลจะดำเนินการสอบคำให้การผ่านการประชุมจอภาพทางไกลผ่านจอภาพ หรือระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (VDO/Web Conference) ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพที่จำเลยทั้งหก ถูกควบคุมตัวอยู่ ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มาสนับสนุนการทำงานของศาลและสร้างความสะดวกร่วมกับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19
เปิดคำฟ้องอัยการ-คดีบรรยินอุ้มฆ่า
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับคำฟ้อง ของอัยการโจทก์ ระบุพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยสรุปว่าเมื่อระหว่างวันที่ 7 ม.ค.-5ก.พ. 2563 จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันสมคบคิด วางแผน แบ่งหน้าที่กันทำ ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย เอาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายของ น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้เสียหาย ไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง และต่อรองเรียกค่าไถ่ ข่มขืนใจ น.ส.พนิดา น้องสาว ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ตามที่จำเลยทั้งหกต้องการ โดยให้ น.ส.พนิดา ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ กับพวก คดีอาญาหมายเลขดำ 305/2561 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ พร้อมกับให้มีคำสั่งคืนเงินหุ้นทั้งหมดในคดีแก่จำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจะฆ่านายวีรชัยแล้วทำลายศพ โดยใช้ไฟเผาด้วยยางรถยนต์ ราดด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง อันเป็นการสมคบกันกระทำผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดของตน หลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา และความผิดอื่นรวม 9 ข้อหา อันเป็นความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
โดยจำเลยทั้งหกวางแผนโดยใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่มีการนำป้ายทะเบียนคันอื่นมาติดป้ายทะเบียน ใช้โทรศัพท์หมายเลขที่เปิดใหม่ โดยบุคคลอื่นในการเปิดหมายเลข เป็นยานพาหนะและเครื่องมือติดต่อสื่อสารติดตามความเคลื่อนไหวของนายวีรชัยหลายครั้ง จนทราบว่าผู้ตายจะโดยสารรถสาธารณะจากบ้านพักมาส่งผู้เสียหายเพื่อทำงานตอนเช้าที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และตอนเย็นก็จะมารับกลับบ้านพักเป็นประจำทุกวัน
พร้อมชี้พฤติกรรมสุดโหด
โดยวันที่ 4 ก.พ. 2563 เวลากลางวันพ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้บังอาจสวมเครื่องแบบเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อให้นายวีรชัยและบุคคลอื่นเชื่อว่าจำเลยเป็นตำรวจ เพื่อความสะดวกในการจับตัวนายวีรชัยไปกักขังเรียกค่าไถ่ ข่มขืนใจ น.ส.พนิดา และนำตัวไปฆ่าเผาทำลายศพ โดยจำเลยที่ 1, 3, 4 และ 5 ร่วมกันแสดงเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ขอตรวจบัตรประชาชนนายวีรชัย แล้วร่วมกันล็อกคอฉุดลากบังคับผู้ตายไปกักขังในรถโตโยต้าสปอร์ตไรเดอร์ สีดำ ที่จอดรอริมถนนหน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ต่อมานายวีรชัยได้ถึงแก่ความตายจากการถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังดังกล่าว
การกระทำของจำเลยทั้งหก จึงเป็นการร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังนายวีรชัย จนเป็นเหตุถึงแก่ความตาย โดยระหว่างที่ร่วมกันนำตัวนายวีรชัยมากักขังหน่วงเหนี่ยวในรถ ได้เดินทางมุ่งหน้าไป จ.นครสวรรค์ ยังได้ร่วมกันข่มขืนใจ น.ส.พนิดา ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีอาญาหมายเลขดำ 305/2561 ให้ยกฟ้องและคืนเงินกับหุ้นที่ถูกอายัดไว้ โดยพูดข่มขู่ผู้เสียหาย ผ่านโทรศัพท์มือถือ อาทิ “ถ้าไม่ยอมยกฟ้องเนี่ย คืนเงินกับหุ้นเนี่ยทั้งหมดให้เขา เขาให้กูเอาผัวมึงไปทิ้งได้เลย” “ถ้ามึงยอมนะ เอาเก็บไว้ในค่ายก่อน รอจนกว่ามึงตัดสินคดีเสร็จอะ ถ้ายกฟ้องต้องยกให้หมดเลย” “ให้ยกฟ้องทุกคน และคืนเงินหุ้นทั้งหมด” “ถ้ามึงบอกทำไม่ได้ วันนี้กูก็จะจัดการผัวมึงเลย รับรองหาซากไม่เจอ ถ้าไม่ยกฟ้อง หรือไม่มีตุกติก ผัวมึงจำหน่ายทันที”โดยจำเลยทั้งหกเข้าใจว่านายวีรชัยเป็นสามีของผู้เสียหาย
หลังจากนั้น จำเลยทั้งหกได้ปิดโทรศัพท์มือถือของนายวีรชัย แต่ น.ส.พนิดา ผู้เสียหายไม่สามารถกระทำการตามที่จำเลยทั้งหกข่มขืนใจดังกล่าวได้ ต่อมาจำเลยจึงได้ร่วมกันฆ่านายวีรชัยจนถึงแก่ความตาย ภายหลังจากที่จำเลยทั้งหก ได้ร่วมกันกระทำความผิดแล้ว จำเลยที่1-5มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามแผนการที่จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันวางแผนไว้ ได้นำยางรถยนต์สวมใส่ศพ นำน้ำมันเบนซินจุดไฟเผา แล้วร่วมกันเก็บชิ้นส่วนที่เหลือจากการเผาใส่ถุงพลาสติกหลายถุงทิ้งริมถนนสายนิคม-ห้วยดุก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหมู่บ้านกลางแดด จ.นครสวรรค์ พร้อมนำทรัพย์สินของผู้ตาย เครื่องมือในการกระทำผิดทิ้งลงแม่น้ำปิง บริเวณหน้าวัดไทรใต้ เพื่อทำลายหลักฐาน เหตุเกิดที่แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ, อ.บางบัวทอง จ.สุพรรณบุรี, อ.ตาคลี อ.เมืองนครสวรรค์ เกี่ยวพันกัน
ค้านประกัน-พฤติการณ์ไม่กลัวกม.
อัยการโจทก์ระบุด้วยว่า หากจำเลยทั้งหมดยื่นขอปล่อยชั่วคราว โจทก์ขอคัดค้าน เนื่องจากคดีอัตราโทษสูง หากปล่อยชั่วคราว น่าจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ก่อเหตุอันตรายประการอื่น และหลบหนี
การกระทำของจำเลยทั้งหก เป็นการกระทำที่ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง อุกอาจ ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และ ศีลธรรมอันดีของประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือเป็นความมั่นคงของประเทศ โจทก์ จึงขอศาลลงโทษจำเลย ทั้งหกสถานหนักด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี