โดนใจ‘แจกเงิน’
โพลล์ย้ำช่วยวิกฤติโควิด
แรงงาน-พม.เยี่ยมปชช.
ซูเปอร์โพลชี้“แจกเงิน”มาตรการโดนใจสุดๆ ของรัฐบาลช่วงโควิด-19 ในขณะที่ แรงงาน-พัฒนาสังคมฯแท็กทีมลงพื้นที่ชุมชนเฟื่องฟ้า รับฟังปัญหาปชช. ได้รับผลกระทบโควิด “หม่อมเต่า”เล็งเรียกคืนเงินคนมีงานทำ หลังนายจ้างไม่แจ้งทำจ่ายฟรี 45 วัน
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ได้เสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่องสามัคคีปรองดอง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินการเก็บข้อมูลแบบผสมผสาน (Mixed Method) ทั้งการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การลงพื้นที่และการเก็บข้อมูลในโลกโซเชียล ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวนรวม 1,097 ตัวอย่าง ระหว่าง 18-23 พฤษภาคมที่ผ่านมา
โดยถามถึงมาตรการรัฐบาลช่วงโควิด-19 ที่ประชาชนพอใจ พบว่า 5 อันดับแรก ได้แก่ ร้อยละ 83.5 ระบุมาตรการแจกเงิน รองลงมาคือ ร้อยละ 80.9 ระบุลดค่าไฟ ร้อยละ 63.1 ระบุลดราคาน้ำมัน ร้อยละ34.9 ระบุลดราคาสินค้า และร้อยละ 33.9 ระบุลดค่าน้ำประปา ตามลำดับ
เมื่อถามถึงความต้องการต่อมาตรการให้รัฐบาลขยายเวลาช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมอีก พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.9 ระบุ ลดค่าไฟ รองลงมาคือร้อยละ 72.2 ระบุ แจกเงิน ร้อยละ 66.5 ระบุ ลดราคาน้ำมัน ร้อยละ 40.7 ระบุ ลดราคาสินค้า และร้อยละ 38.2 ระบุ ลดค่าน้ำประปา ตามลำดับ
พอใจรบ.ทำงานกันเป็นทีม
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความพอใจของประชาชนต่อมาตรการต่าง ๆ เป็นผลงานของทีมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะที่ช่วยเหลือประชาชน หรือเป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.3 ระบุเป็นผลงานของทีมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะที่ช่วยแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน มีเพียงร้อยละ 6.7 ระบุเป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียว
เมื่อถามถึง การตัดสินใจของประชาชน ถ้าสมมติประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรีว่า จะรักษาทีมคณะรัฐมนตรีนี้ไว้ หรือจะไม่รักษาทีมนี้ไว้ หลังโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.8 จะรักษาทีมคณะรัฐมนตรีนี้ไว้ ขณะที่ร้อยละ 5.2 จะไม่รักษาทีมคณะรัฐมนตรีนี้
ที่น่าเป็นห่วงคือ ระดับความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองหลังโควิด-19พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.5 ระบุ ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 25.5 ระบุค่อนข้างน้อยถึงไม่รุนแรงเลย
ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.8 ระบุ รัฐบาลไม่สำเร็จเรื่องความสามัคคีปรองดองของคนในชาติเพราะคนในรัฐบาลเองมีแค่ไม่กี่คนยังไม่สามารถสามัคคีปรองดองกันได้เลย แย่งชามข้าว แย่งน้ำ-ข้าว แย่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วงเวลาชาวบ้านกำลังทุกข์ คนในรัฐบาลเป็นต้นเหตุความขัดแย้งเสียเอง ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีของความสามัคคีปรองดอง ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องความสงบสุขของบ้านเมือง ผู้ใหญ่ในรัฐบาลบางคนถูกลิ่วล้อยุยงปลุกปั่นเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไปไม่ได้รักประชาชนกันจริง ๆ แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นต้น
ขณะที่ร้อยละ 40.2 ระบุสำเร็จเพราะรัฐบาลทำงานมาต่อเนื่อง สำเร็จแต่เป็นเพราะลักษณะปกติของคนไทยที่มีจิตใจรักสงบรักสามัคคีกันมากกว่าเป็นผลงานของรัฐบาล และสำเร็จเพราะประชาชนเห็นรัฐบาลมีผลงาน เป็นต้น
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ใครเป็นพระเอกละครช่วงโควิด-19 คำตอบในละครการเมืองคือ ไม่มี เพราะชาวบ้านเขาบอกว่าเป็นผลงานของทีมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะและประชาชนทั้งประเทศที่ยอมลำบากเดือดร้อน ชาวบ้านนับแสนนับล้านทิ้งที่ทำงานทิ้งอาชีพหนีเอาตัวรอด บ้างก็ติดเชื้อตายบ้างก็ฆ่าตัวตาย บ้างก็อดอยากหิวโหย ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวไม่อาจเลี้ยงดูผู้คนในบ้านได้เพราะตกงานต้อง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จนไม่มีจะกิน แต่คนในรัฐบาลบางคนกลับมุ่งใช้ห้วงเวลาแห่งทุกข์ของประชาชนนี้แย่งชิงตำแหน่งแบ่งพรรคแบ่งพวกยุยงผู้ใหญ่ในรัฐบาลให้นั่งวางแผนเล่นเกมการเมือง หัวเราะเฮฮาเมื่อแผนของพรรคพวกของตนเองประสบความส าเร็จบนทุกข์ของประชาชน ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีของความรักความสามัคคีปรองดองและจะนำพาคนทั้งประเทศอีกกว่าหกสิบล้านคนไปสู่ความสามัคคีปรองดองได้อย่างไร
“พม.-แรงงาน”ลงเยี่ยมชาวบ้าน
ที่ชุมชนเฟื่องฟ้า ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 39 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน (รง.) และนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 2 กระทรวง เช่น นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดพม. นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประสบปัญหาความยากลำบากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19และมอบถุงยังชีพให้กับคนในชุมชน
ทั้งนี้มีการออกบูธของกระทรวงแรงงาน เช่น การรับสมัครผู้ประกันตนมาตรา 40 ของสำนักงานประกันสังคม การรับสมัครงาน ของกรมการจัดหางาน และการให้ความรู้เรื่องโควิด-19 ของกรมอนามัย อย่างไรก็ตามชุมชนเฟื่องฟ้า เขตประเวศ พบว่า มีประชากรทั้งหมด 122 ครัวเรือน ประชากร 360 คน ในจำนวนนี้แยกเป็น ผู้สูงอายุ 51 คน ผู้ป่วยติดเตียง 3 คน คนพิการ 2 คน เด็กแรกเกิด -1 ปี 11 คน เด็กอายุ 1-3 ปี 10 คน เด็กอายุ 3-6 ปี 35 คน และเด็กอายุ 6-15 ปี 45 คน
ไม่ปล่อยให้ชาวบ้านอดตาย
โดย นายจุติ กล่าวว่า การลงพื้นที่วันนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง 4 กระทรวงคือ พม. แรงงาน มหาดไทย และสาธารณสุข เราทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัฐบาลรัฐบาลลงพื้นที่เยี่ยมชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียน เพื่อให้คนเข้าถึงสวัสดิการของรัฐมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเราตั้งเป้าทำงานร่วมกับชุมชนให้เกิดผลภายใน10-15วัน และจะมีการติดตามความคืบหน้าคนในชุมชน ซึ่งจะต้องมีงานทำมากขึ้น มีการเพิ่มทักษะการทำงานให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่มีการบอกรัฐบาลกู้เงินมาเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ จะให้ลูกหลานลำบากในอนาคตนั้น รัฐบาลสามารถดำเนินการกู้เงินได้เพื่อจะไม่คนอดตาย ช่วยคนตกงาน โดยมาสงเคราะห์มาดูแลประชาชนกว่า 51 ล้านคนทั่วประเทศที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งทุกอย่างมีต้องมีต้นทุนไม่มีของฟรีในโลก ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลไม่สามารถละเลยปล่อยให้ประชาชนอดตายได้
ด้าน ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวถึงการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย ว่า ขณะนี้จ่ายเงินเยียวยาไปแล้วกว่า 1.2 ล้านคน โดยมีผู้เข้ามาลงทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณวันละ 2 หมื่นคน นอกจากนี้ทางรัฐบาลได้สอบถามมาว่า จำนวนผู้ประกันตนจำนวน 11 ล้านคนคาดว่าจะมีผู้ตกงานเท่าไหร่ ซึ่งตนก็ได้แจ้งไปยังรัฐบาลอาจจะมีถึงประมาณ 3.7ล้านคน เพราะมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะยาวไปถึง เดือนส.ค. 2564 อย่างไรก็ตามต้องประเมินตัวเลขอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งเรื่องดังกล่าวรัฐบาลต้องคิดหนัก เพราะแรงงานมองว่าเป็นเงินก้อนเดียวของเขา
โดยขณะนี้มีปัญหาคือคนที่มีลงทะเบียนรับเงินเยียวยามีบางส่วนกลับไปทำงานแล้ว นายจ้างต้องแจ้งกระทรวงแรงงาน ซึ่งกว่าจะรู้ก็ประมาณ45วัน และกระทรวงแรงงานต้องจ่ายเงินว่างงาน 45 วัน ซึ่งจะนำเงินที่จ่ายไปแล้วคืนได้อย่างไร
เตือนเกษตรตัวปลอมเจอคุก
จากกรณีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการเยียวยาเกษตรกร เดือนละ5,000บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกร ไม่เกิน 10ล้านราย ซึ่งไม่ซ้ำซ้อนกับการได้รับความช่วยเหลือภายใต้โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” รวมวงเงินของโครงการฯ ไม่เกิน 150,000 ล้านบาท โดยเกษตรกรกลุ่มแรก ที่ผ่านการตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยาล่าสุดมีจำนวน 6.77ล้านคน และจะมีการโอนวันละ 1 ล้านราย และจะทยอยโอนให้ต่อเนื่องทุกวัน แต่ก็มีผู้ที่สงสัยถึงการรับเงินดังกล่าว หากมีผู้ที่แจ้งข้อมูลเท็จจะได้รับโทษหรือไม่นั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ได้จัดทำประเด็นถาม-ตอบ เพื่อคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาเกษตรกร ผ่านเว็บไซต์ www.moac.go.th ระบุว่า “การแจ้งข้อมูลเท็จ มีความผิดหรือไม่” ตอบ การแจ้งข้อมูลเท็จในทะเบียนเกษตรกร ถือเป็นความผิดทางอาญา ตามมาตรา 137 และมาตรา 267 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยมาตรา137 ระบุไว้ว่า ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่มาตรา267 ระบุว่า ผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี