คนไทยการ์ดตก
ล้างมือ-เว้นระยะห่างลดลง
สธ.ย้ำต้องเฝ้าระวังโควิด
พบติดเชื้อรายวันอีก2ตาย1
ศบค.เตือน‘ไทยชนะ’ปลอม
ของจริงไม่มีโหลด-ส่งSMS
ไทยพบผู้ป่วยใหม่ 2 ราย เสียชีวิต1 ราย เตือนภัยระวัง “ไทยชนะ”ปลอม แจงของจริงไม่ต้องดาวน์โหลดแอพ ไม่มี SMS ส่งกลับ โฆษก ศบค.ขอความร่วมมือปชช.อย่าการ์ดตก ต้องเข้ม 5 มาตรการหลักด้านสาธารณสุขต่อเนื่อง เพื่อก้าวเข้าเฟส 3 ขณะที่คนไทยตอบรับแพลตฟอร์มไทยชนะดีมาก เช็คอิน-เช็คเอ้าท์แล้ว 47 ล้านครั้ง สธ.เผยผลสำรวจหลังคลายล็อค พบคนไทยการ์ดตก พฤติกรรมล้างมือ กินร้อนช้อนส่วนตัว เว้นระยะห่าง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ย้ำสถานการณ์โควิด-19ในไทยยังไม่น่าไว้ใจ แนะยืนอัตราป่วย 5 คนต่อ 1 ล้านประชากรได้ไม่ต้องเสี่ยงปิดเมืองซ้ำ รพ.มอ.โชว์ฝีมือใช้พลาสมารักษาคนป่วยโควิดสำเร็จรายแรกของภาคใต้
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงความคืบหน้าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ประจำวัน
พบป่วยใหม่2ตายเพิ่ม1ราย
โดยระบุว่า วันนี้ไทยมีผู้ป่วยรายใหม่ 2 ราย เป็นหญิงชาวจีน อายุ 46 ปี เป็นภรรยาของชายชาวอิตาลีที่เป็นผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ เข้ามาที่ จ.ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม พร้อมครอบครัว 5 คน เพื่อพาลูกมาเรียนว่ายน้ำ แต่หญิงคนดังกล่าวไม่มีอาการ สาเหตุที่ตรวจพบเชื้อ เพราะเป็นบุคคลใกล้ชิดสามี ซึ่งเป็นมาตรการสอบสวนโรคที่เราดำเนินการอยู่ อีกรายเป็นหญิงไทย อายุ 55 ปี เป็นพนักงานนวดเดินทางกลับมาจากรัสเซียเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม และอยู่ในสถานกักตัวของรัฐ ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม เป็นผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเช่นกัน ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 3,042 ราย หายป่วยสะสม 2,928 ราย
นอกจากนี้ มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 68 ปี มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวายระยะสุดท้าย มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลใน จ.ชุมพรเมื่อวันที่ 29 มีนาคม มีอาการไข้ หอบเหนื่อย ย้ายเข้าไปอยู่ห้องความดันลบ พบเชื้อโควิด-19 วันที่ 14 เมษายน อาการแย่ลงเรื่อยๆ แม้ใส่เครื่องช่วยหายใจก็ไม่ดีขึ้น และเสียชีวิตวันที่ 24 พฤษภาคม ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 57 ราย
สธ.ชี้ชาย72ป้องกันตัวดีไม่แพร่เชื้อ
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ป่วยชายไทย อายุ 72 ปี ที่ยืนยันก่อนหน้านี้ว่าเดินทางไปที่ร้านตัดผมย่านประชาชื่นนั้น ผู้ป่วยรายดังกล่าวเริ่มมีอาการเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม และตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ทีมสอบสวนโรคไปสอบประวัติตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน -19 พฤษภาคม พบว่าเดินทางไปโรงพยาบาลของรัฐ 2 แห่ง ตลาด 1 แห่ง แต่ชายคนนี้สวมหน้ากากเกือบตลอดเวลา มีบางช่วงที่ถอดหน้ากากออก โดยจะดูว่าชายคนดังกล่าวมีโอกาสติดเชื้อจากใคร และหลังมีอาการได้ไปร้านอาหารและร้านตัดผม ซึ่งทีมสอบสวนโรคไปตรวจสอบร้านทั้งสองแห่งแล้วมีมาตรการป้องกันแพร่เชื้ออย่างดี มีการเว้นระยะห่างและจุดล้างมือ ทำให้มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าจะไม่แพร่เชื้อไปให้ใคร แต่กักตัวพนักงานที่เสี่ยงแล้ว หากใครสงสัยว่าตัวเองเสี่ยงเข้าตรวจโรคได้ฟรี ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีการตรวจเชื้อไปแล้ว 375,453 ตัวอย่าง แต่เรายังไม่พอใจ ต้องตรวจให้ได้มากกว่านี้
ไทยชนะไม่ต้องดาวน์โหลด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับผลการลงทะเบียนแพลตฟอร์ม www.ไทยชนะ.com มีร้านค้าลงทะเบียนแล้ว 106,235 ร้าน มีจำนวนผู้ใช้งาน 11,757,624 คน แต่พบว่ามีผู้เช็กอินมากกว่าเช็กเอาท์ จึงอยากขอความร่วมมือประชาชนให้ดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อความชัดเจนของข้อมูล อย่างไรก็ตาม มีการพบแพลตฟอร์มไทยชนะของปลอมขึ้นมา มีสีสันและโลโก้เหมือนของจริง ต่างเพียงรายละเอียดเล็กน้อย จึงขอให้ประชาชนระวัง เพราะคนที่ทำแพลตฟอร์มปลอมหวังดึงข้อมูลไปใช้ในทาที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ขอให้สังเกตว่า แพลตฟอร์มไทยชนะของจริงจะใช้งานผ่านเว็บไซต์ได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น
ย้ำอย่าการ์ดตกเตรียมเข้าเฟส3
นพ.ทวีศิลป์ยังย้ำตอนท้ายของการแถลงข่าวว่า วันนี้เรายังต้องการความร่วมมือจากทุกคน เพราะสัปดาห์นี้จะเข้าสู่การเตรียมการประกาศผ่อนปรนระยะที่ 3 จะผ่านไปด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เหลืออีกสัปดาห์กว่าๆ อยากให้ทุกคนป้องกันตัวเองเหมือนที่ผ่านมา จนมีตัวเลขผู้ป่วยศูนย์รายหลายวัน ต้องปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ การ์ดอย่าตก ต้องทำแบบนี้ตลอดไป
ตอบรับไทยชนะดีเช็คอินเช็คเอ้าท47ล.ครั้ง
ด้านนพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงการใช้งานระบบไทยชนะ โดยทีมงานขอโทษประชาชนที่ทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย ในช่วงผ่อนปรนระยะที่ 2 มีคนใช้ 11,757,624 ล้านคน และมีร้านค้าลงทะเบียน 106,235 ร้าน โดยเปิดใช้งานมา 8 วัน มีผู้เช็คอิน เช็คเอ้าท์แล้วกว่า 46 ล้านครั้ง และตอบแบบสอบถาม 11 ล้านครั้ง ถือว่าคนไทยให้การตอบรับดี ถ้าเทียบกับต่างประเทศ เช่น ที่อินเดีย มีแพลตฟอร์มคล้ายกันมีการใช้งาน 10 ล้านคน แต่เขาประชาชนกรมี 1,800 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณร้านค้า กิจการ ที่คิวอาร์โค้ดบริเวณทางเข้า-ออกและจัดให้มีคนดูแล แต่อยากให้มีการติดกระจายออกไปเพื่อให้เกิดการเว้นระยะห่าง
ยันไม่มีSMSเตือน-จ่อฟันพวกทำปลอม
ส่วนกรณีมีการปลอมแปลงเว็บไซต์ไทยชนะนั้น นพ.พลวรรธน์กล่าวว่า เขาพยายามทำให้เหมือนจริงที่สุด โดยปลอมชื่อเว็บมากมาย ตนแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ทางช่องทางกูเกิ้ล ควรพิมพ์เข้าไปเองว่า www.ไทยชนะ.com ป้องกันความผิดพลาด และในส่วนเว็บไซต์ปลอมนั้น จะขึ้นคล้ายกันแต่ต้องดาวน์โหลด เมื่อพบกรณีนี้ให้ปิดทันที เพราะอาจมีปัญหาตามมา และเราได้รับการร้องเรียนว่า เมื่อลงทะเบียนแล้วจะแจ้งเตือนเอสเอ็มเอส ซึ่งยืนยันว่าระบบของเราไม่มีส่งเอสเอ็มเอสให้ประชาชนแม้แต่ครั้งเดียว กระทรวงดีอีเอส กำลังดำเนินการทางกฎหมาย อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน และศบค.ระบุต้องดำเนินการทางการกฎหมายสูงสุด ส่วนกรณี เช็คอินแล้วได้รับข้อความขยะ เช่น เว็บไซต์ชวนเล่นพนันนั้น เป็นเฉพาะโทรศัพท์ระบบไอโอเอสเท่านั้น ซึ่งเว็บไซต์โฆษณาประเภทนี้ระบาดมาตั้งแต่แรกแล้ว เราดำเนินการแล้ว และรู้แล้วว่าอยู่แถวไหน อย่างไร ถ้าใครที่กำลังทำอยู่ขอให้หยุด
คนไทยการ์ดตกล้างมือ-เว้นระยะลดลง
ด้านกระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ร่วมกับองค์การอนามัยโลกสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจผลการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ระหว่างวันที่ 8-14 พฤษภาคม โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ 19,378 ราย พบว่านอกจากใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ซึ่งปฏิบัติตามได้ 91% เท่ากับช่วงล็อกดาวน์แล้ว พฤติกรรมอื่นในการป้องกันตนเองจากโควิด-19 ของประชาชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
“โดยการล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ลดลงเหลือ 83.4% กินร้อนช้อนตัวเองลดลงเหลือ 82.3% การรักษาระยะห่าง 1-2 เมตร ลดลงเหลือ 60.7% และการระมัดระวังไม่เอามือจับหน้าหรือจมูกปาก ลดลงเหลือ 52.9% ทำให้ภาพรวมพฤติกรรมป้องกันตนเองลดลงเหลือ 72.5%” ผลสำรวจระบุ
แห่ไปตลาด-ซุปเปอร์ฯข้ามจว.26%
นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบว่า หลังมีมาตรการผ่อนปรนแล้ว สถานที่ที่ประชาชนเดินทางไปมากที่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ ตลาดสด/ซุปเปอร์มาร์เก็ต 74% รองลงมาคือ ที่ทำงาน 60.5% คลินิก/โรงพยาบาล/สถานพยาบาล 29.1% ร้านอาหารแบบนั่งทาน 21% ร้านตัดผม/เสริมสวย 17.6% ศาสนสถาน 11% สวนสาธารณะ 6.8% สนามกีฬา 3.9% ร้านตัดขนสัตว์/ร้านรับฝากสัตว์ 3.5% แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ โบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ 3.1% และสนามกอล์ฟ 2.8% ขณะที่สัดส่วนการเดินทางออกนอกจังหวัดอยู่ที่ 26% ส่วนมากเป็นการเดินทางไปทำงาน เยี่ยมญาติ/เพื่อนฝูง และทำธุระจำเป็นต่างๆ
รพ.-คลินิกจัดมาตรการคุมโควิดดีสุด
ขณะที่การจัดมาตรการป้องกันโควิด-19 ในทุกสถานที่ เช่น จัดให้มีที่ล้างมือ/เจลแอลกอฮอล์ การวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าสถานที่ พนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากาก ผู้ใช้บริการต้องสวมหน้ากาก และการจัดระยะห่างระหว่างบุคคล ในภาพรวมอยู่ที่ 57.6% โดยสถานที่ที่จัดมาตรการป้องกันโควิด-19 ได้ดีที่สุดคือโรงพยาบาล/คลินิก/สถานพยาบาล ค่าเฉลี่ยรวมทุกมาตรการอยู่ที่ 70.3% รองลงมาคือสถานที่ทำงาน 65.2% ตลาดสด/ซุปเปอร์มาร์เก็ต 57% ร้านตัดผม/เสริมสวย 50.8% ร้านอาหารแบบทานนั่ง 50.2% สำหรับสถานที่ที่ค่าเฉลี่ยการจัดมาตรการป้องกันโควิด-19 ต่ำกว่า 50% คือ ศาสนสถาน สนามกอล์ฟ ร้านตัดขนสัตว์/ร้านรับฝากสัตว์เลี้ยง สวนสาธารณะ สนามกีฬา และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ โบราณสถานและพิพิธภัณฑ์
สธ.ย้ำอยากให้ทำงานที่บ้านลดเดินทาง
ด้านนพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ กำลังกลับมาเหมือนช่วงแพร่ระบาดของโรคต้นเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมที่ผ่านมา เพียงแต่มีระบบป้องกันที่ดีกว่า โดยอัตราพบผู้ป่วยตอนนี้ มาจากสถานที่ที่รัฐจัดหา หรือ State Quarantine และผู้ที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้านั้น รูปแบบการตรวจก็เพิ่มครอบคลุมมากขึ้น รวมไปถึงผู้ป่วยปอดบวม ซึ่งมาตรการต่อไปที่ต้องทำคือ ป้องกัน และค้นหาผู้ป่วยเพิ่ม เพราะขณะนี้เริ่มพบปัญหาว่า ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทำงานนอกบ้าน ดังจะเห็นได้จากอัตราคนใช้บริการรถไฟฟ้า จำนวนมากและหนาแน่นช่วงเวลาเร่งด่วน ดังนั้น จึงอยากให้ทั้งภาครัฐและเอกชนทำงาน Work From Home ให้มากที่สุด หรือเหลื่อมเวลาการทำงาน เท่าที่ทำได้
คงอัตราป่วย5:1ล.ประชากรได้ลดปิดเมืองซ้ำ
“โอกาสที่จะกลับมาแพร่ระบาดของโรคได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับมาตรการระหว่างบุคคล และมาตรการระยะห่างระหว่างสังคม ที่ไหนมีความแออัด ที่นั้นย่อมมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 โดยพบว่าขณะนี้อัตราติดเชื้อในไทย คงที่เฉลี่ย 5 คนต่อ 1 ล้านประชากร หากคงสภาพเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วง เพื่อไม่ให้ต้องปิดประเทศอีก”นพ.ธนรักษ์กล่าว และย้ำว่า ทุกการผ่อนปรนมาตรการ รวมถึงกิจกรรมและกิจการ ในภาวะที่สถานการณ์โควิด -19 ยังไม่จบลงอย่างเด็ดขาด ไม่มีประเทศไหนในโลกที่กลับมาเปิดบริการได้ทุกอย่าง และใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมปกติ ข้อกำหนดต่างๆที่เกิดขึ้น ก่อนเปิดกิจกรรมและกิจการ รวมถึงข้อปฏิบัติที่ต้องสม่ำเสมอระหว่างใช้บริการก็เพื่อลดความเสี่ยง ทำให้ความเสี่ยงในพื้นที่ต่ำที่สุด เช่น ทำความสะอาด รอบการใช้บริการ (ระยะเวลา) แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” “หมอชนะ”
สธ.เผยมาตรการก่อนเปิดศูนย์เด็กเล็ก
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงมาตรการเตรียมความพร้อมเปิดสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยหรือเนอร์สเซอรี่ว่า สิ่งที่เจ้าของกิจการต้องให้ความสำคัญ คือ จัดจุดคัดกรองวัดไข้ครู เด็ก ผู้ปกครอง โดยพื้นที่ภายในโรงเรียนจะไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองหรือบุคคลอื่นเข้าไปเด็ดขาด ให้เฉพาะครูและนักเรียนเท่านั้น และเมื่อครูผ่านคัดกรองเข้าไปในพื้นที่โรงเรียนแล้วต้องเปลี่ยนชุด ใส่หน้ากาก สวมเฟสชิลด์ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ก่อนมาดูแลนักเรียน ส่ วนตัวเด็กต้องเปลี่ยนชุด เปลี่ยนหน้ากากผ้า ทำความสะอาดร่างกายและมือ ทั้งนี้ ขอให้ผู้ปกครองเตรียมหน้ากากผ้าสำหรับเด็กใส่ในกระเป๋าด้วย และผู้ปกครองให้รีบพาเด็กกลับโดยเมื่อถึงบ้านแล้วให้รีบพาไปอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายทันที นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ปกครองขอความร่วมมือหากเด็กป่วยให้หยุดอยู่บ้าน ส่วนทางศูนย์ดูแลเด็กเพียงสงสัยให้แยกเด็กออกมาเลย แล้วประสานสถานพยาบาลให้เข้าไปดูแล สำหรับการทำกิจกรรม ให้เด็กทำกิจกรรมแบบกลุ่มไม่เกิน 6 คน และมีปฏิสัมพันธ์ข้ามกลุ่มน้อยที่สุด แยกของใช้ส่วนตัว ของใช้เฉพาะกลุ่ม ก่อนและหลังใช้อุปกรณ์ต้องล้างมือ ทำความสะอาดอุปกรณ์ของเล่นด้วยแอลกอฮอล์ จัดที่นั่งรับประทานอาหาร ที่นอนกลางวันต้องเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร
ประสานมท.คุมสถานพัฒนาเด็กทั่วปท.
ผู้สื่อข่าวถามถึงมาตรการติดตามและควบคุมการแพร่เชื้อในโรงเรียน พญ.พรรณพิมลชี้แจงว่า สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยมีประมาณ 3 หมื่นแห่ง ในจำนวนนี้ 2 หมื่นแห่งอยู่ภายใต้การดูแลของท้องถิ่นที่กำกับโดยกระทรวงมหาดไทย (มท.) สธ.จึงประสานมท.เตรียมความพร้อมให้เจ้าของกิจการเข้าใจมาตรการก่อนเปิดดำเนินการ ส่วนสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเอกชนได้คุยกับสมาคมฯ และเตรียมชุดการเรียนรู้สำหรับดูแลเด็กแต่ละจุดๆแล้ว ทั้งนี้ การตรวจสอบมาตรฐานนั้น มีเจ้าหน้าที่ออกสุ่มตรวจอยู่แล้ว อาจไม่ทั่วถึง จึงขอความร่วมมือผู้ปกครองเป็นหูเป็นตา ทำแบบประเมินส่งเข้ามาให้เจ้าหน้าที่ด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน
นายกฯสั่งเหล่าทัพเข้มคัดกรองคนเข้าปท.
วันเดียวกัน ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 5 /2563 ประจำเดือนพฤษภาคมชุดใหญ่ หลังประชุม พล.ค.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงหลังประชุมสภากลาโหมว่า นายกฯย้ำถึงการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาระบาดของโควิด - 19 โดย ให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ ยังคงความต่อเนื่องสนับสนุนการดำเนินการของ ศบค. และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) รวมทั้งสนับสนุนการอำนวยการจัดการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) และพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) ตลอดจนพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการมาตรการคัดกรอง และสถานที่กักตัวควบคุมโรคดังกล่าว ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ให้เพียงพอสำหรับรองรับคนไทยที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศจำนวนมาก รวมทั้งชาวต่างประเทศที่มีใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย ซึ่งประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยต่อเนื่อง โดยพยายามเข้าใจความรู้สึกและดูแลทุกคนตลอดเวลาเข้าพักกักตัวควบคุมโรค ให้เสมือนคนในครอบครัว ทั้งนี้ ขอให้เพิ่มการเฝ้าระวังมากขึ้นกับกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตลอดจนเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ที่เดินทางเข้าประเทศ ป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำ
นายกฯปัดตอบยืดพรก.อ้างเจ็บคอ
หลังประชุมนายกฯ ลงจากอาคารประชุมมาพร้อมกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก่อนแยกย้ายขึ้นรถ สื่อมวลชนพยายามสอบถามเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน โดยหลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องทางการเมือง ซึ่งนายกฯตอบสั้นๆ ว่า เจ็บคอ ไม่มีเสียง
แถลงขอบคุณเจ้าสัว26พค.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบฯว่า นายกฯได้บันทึกเทปเพื่อกล่าวขอบคุณบรรดาเจ้าสัวและภาคเอกชนกลุ่มต่างๆที่ได้ตอบจดหมายและให้คำเสนอแนะกับรัฐบาลในการแก้ปัญหา ผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยจะออกอากาศผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ (ทรท.)วันที่ 26 พฤษภาคม ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจเดินสายพบเจ้าสัวและภาคเอกชนกลุ่มต่างๆ
รพ.มอ.ใช้พลามารักษาโควิดหายรายแรก
มีความคืบหน้าการรักษาผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 โดยรอง ศ.นพ.ศรัญญู ชูศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เปิดเผยว่า ทีมแพทย์ รพ.สงขลานครินทร์ ประสบความสำเร็จในการใช้พลาสมาหรือน้ำเหลือง จากผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ได้รับการรักษาหายแล้วนำไปรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการวิกฤติจนหายเป็นปกติ ถือเป็นครั้งแรกของภาคใต้ โดยผู้ป่วยรายดังกล่าวเป็นเพศชาย ถูกส่งตัวต่อมาจากจ.นราธิวาส และได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสสูตรมาตรฐานคือ ฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir) มาแล้ว 3 วันแต่อาการไม่ดีขึ้น ต้องใส่ท่อหายใจ แพทย์จึงให้การรักษาเสริม โดยใช้พลาสมาที่ได้รับบริจาคจากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโควิด-19 จากโรงพยาบาล แพทย์รักษาโดยให้พลาสมาครั้งละ 200 ซีซี 2 ครั้ง ผลปรากฎว่าระยะเวลา 3-4 วัน ผู้ป่วยอาการดีขึ้น โดยเฉพาะค่าการหายใจและค่าหัวใจดีขึ้น ภาวะอักเสบต่างๆลดลง ค่าไวรัสที่คอหอยและในเสมหะมีปริมาณน้อยมากจนตรวจวัดไม่ได้ สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้ และอาการปอดอักเสบดีขึ้น ปัจจุบันผู้ป่วยหายเป็นปกติ กลับบ้านได้แล้ว นับเป็นผู้ป่วยรายสุดท้ายของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี