“เฉลิมชัย” รมว.เกษตรฯสุดปลื้มดันโครงการสินเชื่อประมงหมื่นล้าน เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ครอบคลุมทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ เป็นครั้งแรกของประเทศ พร้อมให้กู้เดือนมิถุนายนนี้ โดยรัฐเข้าไปช่วยชดเชยดอกเบี้ยเพียบ
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งเป็นโครงการสินเชื่อประมงที่มีเงินมากที่สุดครอบคลุมทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ครั้งแรกของประเทศ ทั้งยังเป็นโครงการที่เกิดจากการมีส่วนร่วมมากที่สุดของทุกภาคส่วนภายใต้การทำงานของคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยกับกรมประมงและสมาคมประมงทุกสมาคม โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยในวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม ที่กรมประมงเพื่อซักซ้อมความเข้าใจและเตรียมพร้อมเปิดโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมงทันทีในเดือนมิถุนายนนี้
สำหรับโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท และกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน 2,164.1 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย จำนวน 2,163 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และผู้ประกอบการประมงสมทบร้อยละ 4 ต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี นับแต่วันที่กู้ แบ่งเป็น 1. ธนาคารออมสินให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน10ล้านบาทรวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย 1,050ล้านบาทและ2. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดต่ำกว่า 60 ตันกรอส วงเงินสินเชื่อ 5,300 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน 5ล้านบาทรวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย1,113 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินและธ.ก.ส.
“จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19ทำให้ภาคประมงได้รับผลกระทบเนื่องจากการส่งออกสินค้าประมงชะลอตัวและกำลังการซื้อของผู้บริโภคในประเทศลดลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพด้วยการจัดหาแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ บรรเทาความเดือดร้อนและให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน”นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประมวลผลการรับเรื่องร้องทุกข์ ผ่านสายด่วน 1111 ในช่วงระหว่างวันที่ 5 มีนาคม – 26 พฤษภาคม 2563 พบว่า มีประชาชนสอบถามข้อมูล แจ้งเหตุ ร้องขอความช่วยเหลือ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)รวมทั้งสิ้น 353,451 เรื่อง ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน 350,693 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 99.22 และรอผลการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2,758 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 0.78
สำหรับประเด็นที่ประชาชนแจ้งมากที่สุด ได้แก่ ร้องเรียน/ร้องทุกข์เกี่ยวกับการกําหนดมาตรการการดูแล การเยียวยา ให้ความช่วยเหลือ รองลงมาคือ แจ้งเหตุเกี่ยวกับการคัดกรองผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงและแจ้งเหตุไม่ปฏิบัติตามประกาศ เรื่องสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ตามลำดับและประเด็นที่ประชาชนสอบถามข้อมูลและแสดงความคิดเห็นมากที่สุดด้แก่ สอบถามข้อมูลและมาตรการในการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ เช่น ช่วยเหลือด้านการเงิน สิทธิ์ในการตรวจรักษา การแจกหน้ากากอนามัย รองลงมาคือ สอบถามข้อมูล-ประกาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)และสอบถามข้อมูลแนวทางและข้อปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อ ตามลําดับ
ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำข้อมูลเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ และข้อคิดเห็นจากประชาชน เสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นข้อมูลสําคัญที่นําไปสู่การกําหนดนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือประชาชนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19)อย่างต่อเนื่องด้วยแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี