อุดช่องโหว่คลายล็อกเฟส3
‘บิ๊กตู่’สั่งรับมือ
เน้นปลอดภัยห้ามการ์ดตก
‘บิ๊กป๊อก’ติวเข้มผู้ว่าฯทั่วปท.
แย้มใช้พรบ.โรคติดต่อแทนพรก.
พบป่วยเพิ่มอีก1กลับจากนอก
แพทย์จุฬาเตือนระบาดรอบ2
ศบค.แถลงผู้ป่วยโควิดเพิ่ม 1 ราย เป็นผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ ไม่มีผู้เสียชีวิต ในขณะที่ “วิษณุ-สมช.”รับบัญชาบิ๊กตู่ อุดช่องโหว่คลายล็อกเฟส 3 พร้อมหามาตรการรองรับห้ามการ์ดตกเน้นความปลอดภัยตามระเบียบสาธารณสุขเป็นหลัก เผยหากเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็ต้องใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อ คู่ออกมติ ครม.ด้าน มท.1 เรียกประชุมผู้ว่าฯทั่วประเทศรับมือ ส่วนแพทย์จุฬาฯหวั่นระบาดรอบ 2
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 16 ราย ทำให้ยอด ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,961 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.23 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 59 ราย หรือร้อยละ 1.92 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 1 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบียและได้เข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 57 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,077 ราย
พญ.พรรณประภา กล่าวว่า การรายงานผู้ติดเชื้อในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด 52 ราย ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) จำนวน 43 ราย คิดเป็นร้อยละ 82.69
ยึดนโยบายรับคนไทยกลับบ้านทุกคน
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไทยตกค้างอยู่ในต่างประเทศ เช่น นักศึกษา คนทำงาน นักท่องเที่ยว เป็นต้น รัฐบาลจึงได้มีนโยบายรับคนไทยกลับทุกคน และนำเข้า State Quarantine ที่รองรับไว้ เพื่อป้องกันการนำเชื้อแพร่สู่คนในประเทศ โดยคำนึงถึงความพร้อมในการรองรับเพื่อไม่ให้เกิดความแออัด และเกินกำลังในการดูแลของทีมบุคลากรทางการแพทย์ จำกัดจำนวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ซึ่งทุกคนที่เดินทางเข้ามาจะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และตรวจหาเชื้อจำนวน 2 ครั้ง หากพบผู้ติดเชื้อจะนำเข้าสู่ระบบการรักษา ขอให้ประชาชนมั่นใจในมาตรการการดูแลผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศว่ากระทรวงสาธารณสุขสามารถดูแล ควบคุม ป้องกันโรคได้ตามมาตรฐาน
ย้ำให้ปชช.ดูแลสุขภาพต่อเนื่อง
พญ.พรรณประภา กล่าวถึงกรณีรัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการระยะ 3 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 อนุญาตให้มีการเปิดกิจการและกิจกรรมเพิ่มขึ้น อาทิ สนามกีฬา ฟิตเนส สปา นวดแผนไทย คลินิกเสริมความงาม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม โรงภาพยนตร์ เป็นต้น อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ และสัมผัสเชื้อได้ ดังนั้น ความร่วมมือของพี่น้องประชาชนยังเป็นสิ่งจำเป็น ขอเน้นย้ำให้ดูแลสุขภาพของตนเองอย่างเคร่งครัด และทำให้เป็นนิสัย ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือให้สะอาด และการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น ไม่นำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก และปฏิบัติตามมาตรการข้อกำหนดของสถานที่ที่ใช้บริการเพื่อความปลอดภัย
เผยโควิดส่งผลกระทบต่อเด็ก
ต่อมา แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 แพร่ระบาด ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนในประเทศไทยและทั่วโลก ไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด เด็กๆ ต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนสร้างความกังวลในหลายมิติ ซึ่งจากการสำรวจเด็กและครอบครัวจำนวน 6,000 ครอบครัวในประเทศสหรัฐอเมริกาและบางประเทศในทวีปยุโรป พบว่ามีเด็กถึงร้อยละ 76 รู้สึกวิตกกังวลในเรื่องเกี่ยวกับการเรียน และกลัวคนรอบข้างและตนเองจะติดเชื้อ
อีกทั้งจากมาตรการการควบคุมการแพร่กระจายของโรคระบาด COVID-19 ทำให้กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายในการปิดโรงเรียนของรัฐและเอกชนทั่วประเทศรวมถึงโรงเรียนกวดวิชาทุกแห่ง ส่งผลให้เด็กและเยาวชนทั้งประเทศต้องอยู่บ้านและส่วนหนึ่งต้องใช้การศึกษาออนไลน์มาเป็นวิธีในการที่จะทำให้ระบบการเรียนการสอนยังคงดำเนินต่อไป เมื่อโรงเรียนปิด เด็กและเยาวชนจึงมีโอกาสในการเรียนรู้ลดลง และขาดพัฒนาการทางสังคมตามช่วงวัย ผลกระทบนี้ส่งผลอย่างมากต่อกลุ่มเด็กกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเด็กด้อยโอกาสมากกว่าเด็กและเยาวชนทั่วไป
“วิษณุ”ย้ำ ต้องมีมาตรการรองรับ
ทางด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่า ได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาศึกษารองรับเพื่อรองรับกรณีหากมีการยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ว่า นายกฯ ไม่ได้ตั้งคณะกรรมการอะไร แต่มอบหมายให้ตนดูเรื่องนี้ แต่ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เสนอนายกฯ ว่าจำเป็นต้องมีการพิจารณาจะใช้กฎหมายใดหรือออกมาตรการอะไรมารองรับหลังจากเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมีความละเอียดอ่อนหากเลิกประกาศใช้ไปแล้วไม่มีสิ่งใดมารองรับจะเกิดปัญหาตามมา ซึ่งตนคิดว่าเมื่อถึงเวลาเกิดปัญหาแล้ว ก็สามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้อีกครั้ง ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.ก.ที่บัญญัติว่ากรณีที่จำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วน นายกฯ สามารถสั่งการเองได้ก่อน จากนั้นจึงไปขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ภายใน 3 วัน หากไม่ขอ ครม.ภายในกำหนดถือว่าประกาศสถานการณ์นั้นสิ้นสุดไป
ย้ำตัว พ.ร.ก.ฉุกเฉินยกเลิกไม่ได้
“ขอย้ำว่าตัว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะเป็นกฎหมายแม่ที่ยังคงอยู่ แต่เมื่อจะใช้บังคับต้องออกกฏหมายลูกคือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่นายกฯต้องขอความเห็นชอบจากครม.และหากยกเลิกประกาศใช้ไปแล้ว ต่อมาเกิดปัญหาแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรงที่สุดก็ไม่ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯอีกก็ได้ แต่สามารถนำมาตรการอื่นมาใช้ได้ แต่ไม่ใช่กฎหมายความมั่นคง เพราะสามารถใช้พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ที่ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการได้ แต่อาจเกิดความลักลั่นในบางกรณี ดังนั้นอาจจะออกมติครม.มาอุดช่องโหว่ในเรื่องตรงนี้ได้ เนื่องจากต้องปฎิบัติตามมติครม.ส่วนมาตรการที่จะออกมารองรับนั้น ทางคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์จากสถาบันการศึกษา และจากกระทรวงสาธารณสุข จะร่วมกันพิจารณาด้วย” นายวิษณุ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการหามาตรการรองรับจะต้องมีทีมงานขึ้นมาช่วยพิจารณาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า การหารือเรื่องนี้มีอยู่แล้ว โดยฝ่ายของหมอจะเป็นคนพูด และในการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าจะต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯไปถึงเมื่อใด ถ้าไปตอบก็จะเกิดการคาดหมายว่าจะประกาศใช้ต่อหรือจะยกเลิกเมื่อใด บางเรื่องคาดหมายยังไม่ได้ตอนนี้ เพราะต้องประเมินสถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน และพิจารณาตามวงรอบ ยกตัวอย่าง เรื่องการปรับเวลาเคอร์ฟิวก็ใช้แนวทางนี้ในการพิจารณา
เผยเงื่อนไขสำคัญต้องปลอดภัยก่อน
เมื่อถามว่านายกฯ ระบุหรือไม่ว่าอะไรเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ในการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยทางสาธารณสุขต้องเป็นที่วางใจได้ก่อน และให้ไปอ่านในข้อกำหนดฉบับที่จะออกมามีการระบุคำปรารภเอาไว้ว่าช่วงการผ่อนปรนระยะที่ 3 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะในต่างประเทศมีการแพร่ระบาด และมีคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ และใกล้จะผ่อนคลายอาจมีการลองดีลองของ ไม่กลัวหรือชะล่าใจ เช่น ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่างทางสังคม เดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่ระมัดระวัง หรือกิจการที่ได้รับการผ่อนปรนไม่ทำตามข้อกำหนด ส่วนคนที่ฝ่าฝืนแม้ถูกจับหรือดำเนินการตามกฏหมาย แต่ก็เกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ มีการติดเชื้อหลังเปิดภาคเรียนก็เป็นตัวชี้วัดสถานการณ์ได้ว่าการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอาจทำได้ลำบาก
มท.1นัดประชุมผู้ว่าฯทั่วปท.31พ.ค.
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า จะประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศในวันที่ 31 พฤษภาคม เพื่อซักซ้อมมาตรการต่างๆ รับมือการผ่อนปรนระยะ 3 เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันโดยเฉพาะที่มีการผ่อนปรนเรื่องการเดินทางข้ามจังหวัด ที่แต่ละจังหวัดจะต้องคงจุดตรวจ เพื่อคัดกรองโรค และยังคงเน้นแนวทางเดิมที่ปฎิบัติมา เช่นเดียวกับมาตรการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ การ์ดด้านสุขอนามัยต้องไม่ตก
“การคลายล็อกระยะที่ 3 เพื่อที่จะให้ประชาชนประกอบอาชีพได้ตามปกติ แต่เป็นวิถีปกติแบบใหม่ หรือ New Normal และทุกอย่างต้องปฎิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ถ้ามีการแพร่ระบาด ก็สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที เป็นการเตรียมตัวในอนาคต หากมีการเปิดประเทศ และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา ก็ต้องปฎิบัติตามแนวทางนี้ เป็นการซักซ้อมไว้ก่อน ถ้าทุกคนร่วมมือ เชื่อมั่นว่าจะรับมือได้ ไม่ต้องกลับไปตรึงมาตรการเข้มเหมือนเดิม ประเทศก็เดินหน้าสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
“หมอยง”เตือนคนไทยยังประมาทไม่ได้
วันเดียวกัน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Yong Poovorawan” โดยมีเนื้อหาระบุว่า โควิด-19 จะเกิดระบาดระลอก 2 หรือไม่ หลายคนกลัวเพราะเข้าสู่ฤดูฝน อากาศเริ่มเย็นลง โรงเรียนจะเปิดเทอม ทุกปีเมื่อโรงเรียนเปิดเทอม และเข้าสู่ฤดูฝน โรคทางเดินหายใจไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดเล็ก จะเพิ่มมากขึ้น จะเพิ่มจากตัวเมืองใหญ่ โรงเรียนใหญ่ ออกสู่ตัวเมืองเล็กและในชนบท เช่นเดียวกัน โควิด-19 ก็เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ จึงทำให้อดจะกลัวไม่ได้
ศ.นพ.ยง กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญในปีนี้ เราพยายามมีมาตรการในการป้องกันเต็มที่ ตั้งแต่เรื่องสุขอนามัยการล้างมือการรับประทานอาหารที่สุกสะอาด การกำหนดระยะห่างของบุคคล ให้มีการสัมผัสกันให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการเข้าชุมชน หรือการรวมกันเป็นหมู่มาก เมื่อมีมาตรการผ่อนปรน เป็นระยะออกมา ทุกคนจะต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะไม่พบการระบาดในขณะนี้ เกิดขึ้นระหว่างคนไทยสู่คนไทยเราจะประมาทไม่ได้ ในขณะที่เชื้อตัวนี้ยังอยู่มาก รอบบ้านเราไม่ว่าจะเป็นทางใต้ ทางตะวันตกอินเดียและบังคลาเทศ ก็กำลังระบาดอย่างหนัก มาตรการในการป้องกันการเดินทางเข้าประเทศไทย จะต้องไม่ให้มีรูรั่ว หรือถ้าจะลอดมาแล้วต้องหาให้เจอ
ฟันธงต่อจากนี้หนักหนากว่ารอบแรก
“การค้นหาสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องยากพอสมควร อย่างที่เคยบอก เราวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่ง 100 เมตร แล้วถึงเส้นชัย ขณะนี้วิ่งมาเพียงไม่กี่กิโลเมตร ทางยังอีกยาวไกล การผ่อนปรน เพื่อให้มีทางหายใจ ก็มีความจำเป็น ไม่เช่นนั้นก็จะ วิ่งไม่ถึงจุดหมาย สิ่งสำคัญจะต้องอยู่บนจุดสมดุล ไม่ให้เกิดโรคจำนวนมากหรือการระบาดขึ้น และทุกคนมีทางหายใจได้ เพื่อให้ถึงเป้าหมายในระยะทางอีกไกล การจะเกิดรอบ 2 หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกันอย่างเต็มที่เต็ม 100% หนทางต่อไปนี้ จะหนักหนากว่าแล้วรอบแรกแน่นอน” ศ.นพ.ยง ระบุผ่านเฟซบุ๊ค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี