หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ปรากฎว่ามีฝนตกเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ระหว่าง 40-80 มิลลิเมตร มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่ยังไม่มีสัญญาณเหตุความรุนแรงจากพายุใดๆ อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าประมาณเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2563 จะเริ่มมีฝนตกมากขึ้น
เพื่อเป็นการเตรียมรับสถานการณ์น้ำในฤดูฝน กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทจากการแก้วิกฤติขาดแคลนน้ำช่วงฤดูแล้งมาเป็นการเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์น้ำในฤดูฝน โดยสั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการติดตาม เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายปฏิบัติภารกิจตาม 8 มาตรการรองรับฤดูฝนที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ตามที่สทนช.เสนอ ประกอบด้วย 1.คาดการณ์พื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วม 2.ปรับแผนเพาะปลูกพืชในพื้นที่ลุ่มต่ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา 13 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ทุ่งบางระกำ และพื้นที่ลุ่มต่ำ 12 แห่ง เพื่อเก็บเกี่ยวก่อนฤดูน้ำหลากและใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำช่วงฤดูน้ำหลากและบรรเทาระดับความรุนแรงน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง 3.จัดทำเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำ โดยใช้ข้อมูลฝนคาดการณ์ประเมินน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ เพื่อนำมากำหนดการเก็บกักน้ำและระบายน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน 4.ตรวจสอบอาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำและสถานีโทรมาตรให้มีสภาพพร้อมใช้งาน 5.ตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ เช่น ปรับปรุงพัฒนาแผนระบายน้ำขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ที่เกิดจากการก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการพื้นที่น้ำท่วม/พื้นที่ชะลอน้ำ และการปรับปรุงคูคลองเพื่อให้ระบายน้ำได้สะดวกรวดเร็ว 6.สำรวจแม่น้ำคูคลองและขุดลอกกำจัดผักตบชวา 7.เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือช่วยเหลือให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และเข้าช่วยเหลือได้ทันสถานการณ์รวม 7,661 เครื่องและ8.สร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนรับรู้และเข้าใจผ่านเครือข่ายคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด เป็นต้น
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)กล่าวว่า สทนช.บูรณาการติดตามประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินงานเป็นไปตามมาตรการที่วางไว้ ล่าสุดรองนายกฯเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตาม 8 มาตรการดังกล่าวโดยเร็ว เพราะจากการประเมินสถานการณ์พบว่า ฤดูฝนปีนี้หลายพื้นอาจมีฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำล้นตลิ่งและน้ำท่วมฉับพลันได้ ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยช่วงก่อนเดือนสิงหาคม พื้นที่เฝ้าระวังคือ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ภาคอีสานตอนบน ภาคเหนือและภาคตะวันออก หลังเดือนสิงหาคมพื้นที่เฝ้าระวังจะอยู่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ พร้อมให้กรมชลประทานจัดทำแผนและมาตรการรับน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำและพื้นที่ลุ่มต่ำ 12 ทุ่งในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เพื่อรองรับน้ำหลากให้แล้วเสร็จเดือนกรกฎาคม ขณะที่เรื่องการจัดทำเกณฑ์บริหารจัดการอ่างเก็บน้ำและเกณฑ์ระบายน้ำ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานต้องทำให้แล้วเสร็จเดือนมิถุนายน ตลอดจนให้กรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร และจังหวัดในเขตปริมณฑล จัดทำเกณฑ์ระบายน้ำ ควบคุมระดับน้ำ สูบน้ำบริเวณประตูระบายน้ำในพื้นที่รอยต่อกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 13 แห่งให้ชัดเจน พร้อมกำหนดพื้นที่เฝ้าระวังและแผนป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร
นอกจากนี้ ยังให้กรมชลประทาน กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมเจ้าท่า การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ปรับแผนงานปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ ปี 2563 ให้เสร็จก่อนฤดูน้ำหลาก และให้กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งกำจัดผักตบชวาและวัชพืชในแม่น้ำสายหลักให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้
“การกำจัดผักตบชวา นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำแก้ปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังทำให้การคมนาคมขนส่งทางน้ำสะดวกสบาย รวมทั้งประชาชนริมน้ำมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ดังนั้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือจริงจัง ประชาชนที่อยู่ริมน้ำทุกหลังคาเรือนช่วยกันดูแลความสะอาดหน้าบ้านของตนเองสม่ำเสมอ เชื่อว่าปัญหาผักตบชวาจะหมดไปจากแม่น้ำ ลำคลองอย่างยั่งยืนแน่นอน” ดร.สมเกียรติ กล่าว
สำหรับในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รัฐบาลให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาเกือบทุกปี มักประสบปัญหาระบายน้ำไม่ทัน พลเอกประวิตร ในฐานะผู้อำนวย กอนช. จึงตั้งคณะทำงานด้านบูรณาการและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาน้ำท่วมขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากคณะทำงานจิตอาสาพระราชทานภาค 1 ขุดลอกคูคลองสองฝั่งถนนวิภาวดีรังสิต และคลองเชื่อมถนนวิภาวดีรังสิตลงคลองเปรมประชากรตั้งแต่เขตดอนเมือง เขตหลักสี่ เขตจตุจักร ไปจนถึงเขตดินแดง รวมถึงพัฒนางานระบายน้ำจากสามเหลี่ยมดินแดงลงบึงมักกะสันอีกด้วย
นอกจากนี้ กรมทางหลวงขุดลอกขยายคูคลองเปิดทางน้ำ 5 จุด ได้แก่ 1.หน้าสถานีรถไฟฟ้าวัดเสมียนนารี 2.ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์-นอร์ทปาร์ค 3.หน้านอร์ทปาร์ค-หน้าสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ 4.หน้าสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์-การเคหะทุ่งสองห้อง และ 5.คลังน้ำมัน-สน.ดอนเมือง ซึ่งขณะนี้ดำเนินงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พลเอกประวิตรยังเร่งติดตามความก้าวหน้าของโครงการเร่งด่วนเพื่อกักเก็บน้ำในฤดูฝน ปี 2563 โดยขณะนี้ดำเนินการแล้ว 286 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 15.57 เพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักได้ 61.10 ล้านลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 255,938 ไร่ มีประชาชนได้รับประโยชน์ 81,391 ครัวเรือน และจ้างแรงงาน 6,159 คน ซึ่งสั่งให้ดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ให้ครบทุกพื้นที่เป้าหมาย เพื่อกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด และสำรองไว้ใช้ช่วงฤดูแล้งปีถัดไป รวมทั้งสั่งเร่งพัฒนาธนาคารน้ำใต้ดิน โดยมีสทนช.และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นเจ้าภาพหลัก พร้อมเห็นชอบแต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำขึ้นมา เพื่อให้ขับเคลื่อนโครงการได้เป็นรูปธรรม และให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมกำหนดพื้นที่เก็บน้ำใต้ดินให้มากขึ้น
เมื่อ สนทช. เป็นหัวเรือใหญ่บูรณาการเตรียมพร้อมวางแผนรับมือสถานการณ์ฝนร่วมกับหน่วยงานด้านน้ำของประเทศเช่นนี้….เราจึงเห็นความพร้อมในการรับมือน้ำหลากปีนี้มากยิ่งขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี