นายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยหลังประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคเหนือ ครั้งที่ 1/2563 เพื่อรับทราบรายงานผลจัดทำข้อมูลประมาณการผลผลิตผลไม้ภาคเหนือ (ลิ้นจี่และลำไย) ครั้งที่ 3/2563 สถานการณ์เก็บเกี่ยวรวมทั้งแผนบริหารจัดการลิ้นจี่และลำไย ปีการผลิต 2563 จากคณะทำงานสำรวจข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจ สำหรับลิ้นจี่ใน 4 จังหวัดภาคเหนือคือ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และน่านผลผลิตปีนี้มี 28,676 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งมีผลผลิตรวม 26,278 ตัน ขณะนี้ผลผลิตเก็บเกี่ยวใกล้หมดแล้ว โดยมีคณะกรรมการแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) เป็นแกนหลัก วางแผนบริหารจัดการเชิงปริมาณ แบ่งเป็น กระจายผลผลิตในประเทศ 24,029 ตัน ได้แก่ ล้งในประเทศ วิสาหกิจชุมชน ส่งตลาดภายในจังหวัด/สถานที่ท่องเที่ยว สหกรณ์การเกษตร ตลาดอื่น อาทิ รถเร่ รถขนส่งสินค้านิคมอุตสาหกรรม ตลาดไท ตลาดต่างจังหวัด Modern Trade จำหน่ายผ่านไปรษณีย์ไทยและตลาดออนไลน์ แปรรูป 2,854 ตัน เป็นลิ้นจี่กระป๋อง น้ำลิ้นจี่และอื่นๆ เช่น ลิ้นจี่อบแห้ง และลิ้นจี่แช่แข็ง และส่งออก 1,793 ตันการจัดการเชิงคุณภาพเน้นส่งเสริมผลิตตามมาตรฐาน GAP การห่อผลลิ้นจี่ก่อนเก็บเกี่ยว การให้คำแนะนำทำลิ้นจี่คุณภาพ ส่งเสริมดำเนินงานรูปแบบแปลงใหญ่ ให้ความรู้จัดการผลผลิตและเชื่อมโยงตลาด ประชาสัมพันธ์ลิ้นจี่คุณภาพ รวมทั้งสร้างเว็บเพจซื้อขายออนไลน์ โดยเฉพาะปีนี้การขายผ่านออนไลน์มียอดสั่งซื้อผ่านไปรษณีย์ไทยสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่ประชาชนต้องอยู่บ้านตามมาตรการป้องกันควบคุมการะบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับผลผลิตมีคุณภาพดี เกษตรกรพัฒนาบรรจุภัณฑ์ (packaging) พร้อมจัดเรียงผลผลิตเพื่อป้องกันความเสียหายได้ดีขึ้น
ส่วนลำไยแหล่งผลิตหลักอยู่ใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง แพร่ และตาก คาดการณ์ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดรวม 635,394 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ให้ผลผลิต 620,379 ตันหรือร้อยละ 2.42 แบ่งเป็นผลผลิตในฤดู 386,065 ตัน (ร้อยละ 60.76) และผลผลิตนอกฤดู 249,329 ตัน (ร้อยละ 39.24) โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดช่วงเดือนสิงหาคมคิดเป็นร้อยละ 35.41 ของผลผลิตทั้งปี ด้านผลผลิตต่อไร่ของลำไยเพิ่มขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศเหมาะสม โดยช่วงที่ลำไยติดดอกมีความหนาวเย็นพอเหมาะ ส่งผลให้ลำไยปีนี้ออกดอกและติดผลมากกว่าปีที่แล้ว
สำหรับแผนบริหารจัดการลำไยจังหวัดวางแผนการบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จด้วยตัวเอง ผ่านกลไกของคณะกรรมการเพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ในเชิงคุณภาพตั้งแต่ระยะก่อนเก็บเกี่ยวจนถึงหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้แก่ โครงการรณรงค์การผลิตลำไยคุณภาพ ปี 2563 โดยมีกิจกรรมสำคัญ เช่น ส่งเสริมการผลิตตามมาตรฐาน GAP ส่งเสริมและแนะนำให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีที่สำคัญ 5 ด้าน คือ เตรียมต้นให้สมบูรณ์ ตัดแต่งช่อผล การให้น้ำใส่ปุ๋ยและปรับปรุงคุณภาพสีผิว รวมทั้งจัดทำแปลงเรียนรู้ ส่งเสริมการรวมกลุ่มพัฒนาคุณภาพผลผลิตและการตลาด ถ่ายทอดความรู้การผลิตลำไยคุณภาพในรูปแบบแปลงใหญ่ จนถึงคำแนะนำเตรียมต้นหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม ส่วนเชิงปริมาณลำไยภาคเหนือจะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน ช่วงที่ให้ผลผลิตมาก ต้องเฝ้าระวังสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคม ซึ่งทั้ง 8 จังหวัดเตรียมบริหารจัดการลำไยในฤดูรวม 386,065 ตันแล้ว ทั้งการประชุมเชื่อมโยงตลาดลำไยล่วงหน้า สนับสนุนให้มีจุดรวบรวมและคัดคุณภาพลำไยและกระจายผลผลิต จัดเตรียมข้อมูลความต้องการรับซื้อผลผลิตของผู้ประกอบการลำไยโดยประสานความร่วมมือกับพาณิชย์และอุตสาหกรรมจังหวัด
สำหรับการบริหารจัดการผลผลิตมีดังนี้ บริโภคสดในประเทศ 69,102 ตัน ด้วยวิธีกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตผ่านผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ตลาดในจังหวัดและท่องเที่ยวชุมชน รวมทั้ง Modern Trade และตลาดออนไลน์/ไปรษณีย์ แปรรูป 269,021 ตัน ด้วยวิธีการอบแห้งทั้งเปลือก อบแห้งเนื้อสีทอง แปรรูป เช่น ทำน้ำลำไยสกัดเข้มข้นลำไยกระป๋อง และการส่งออกลำไยสด 47,942 ตัน ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าวเตรียมเสนอแนวทางกำกับ ติดตาม เฝ้าระวังผลผลิตลำไยปริมาณมาก (ช่วง Peak)ปี 2563 เพื่อเสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board)เห็นชอบแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคเหนือต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี