“กก.ช่วยเหลือกฎหมายเนติฯเเถลงช่วยครอบครัวเด็กโดน18ล้อชนพิการชนะคดี บริษัทรถบรรทุก 5ล้านบาทปมโดนทนายฉ้อฉลสละสิทธิบังคับคดีดอดรับเงินบริษัทเอง น้องบีมวอนบอกถ้าบริษัทดูหนูอยู่โปรดเมตตาหนูกับเเม่มาคุยหาทางออกร่วมกัน
วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 เวลา 12.30 น. ที่ห้องมหาวชิราวุธ 5ชั้น 2 สำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา (ส.ช.น. ) ถ.กาญจนาภิเษก ว่าที่พันตรี ดร.สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายเนติบัณฑิตยสภา พร้อมด้วย นายดำศักดิ์ เครือแก้ว นายศักดิ์ณรงค์ พวงศิริ ,นายวัชณ์ธิป แสดงมณี คณะทนายความ นายทินกร สุระบัณฑิต, นายณัฐนันท์สุวรรณมณี, นายณัฐศักดิ์สามงามทอง, นายสุพจน์หนูเพ็ง (ประธานสภาทนายความจังหวัดไชยยา) คณะทำงานได้เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมาศาลจังหวัดไชยา จ.?สุราษฎร์ธานี ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีแพ่งที่ น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ (มารดาน้องบีม) และด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง (น้องบีม) เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโชเฟอร์รถบรรทุก 18 ล้อ บริษัท เจ้าของรถบรรทุกและ บริษัท ประกันภัยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
จากกรณีเมื่อปี 2548 รถบรรทุก พวกจำเลยได้พุ่งชนรถกระบะ ที่น้องบีมนั่งมากับมารดาและบิดาเป็นเหตุให้บิดาเสียชีวิต มารดาบาดเจ็บและน้องบีมต้องพิการทุพลภาพ และศาลพิพากษาให้ฝ่ายน้องบีมชนะคดีต่อมาได้มอบอำนาจให้นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความ ติดตามบังคับค่าเสียหายจากจำเลย รวมเงินต้นและดอกเบี้ยกว่า 5 ล้านบาท แต่กลับถูกนายพิสิษฐ์ทนายความ ปลอมเอกสาร ฉ้อโกง ยักยอกเงินค่าเสียหายที่ได้รับจากจำเลยทั้งหมดไปโดยทุจริต อีกทั้งนายพิสิษฐ์ ทนายความยังได้ยื่นคำร้องขอสละสิทธิไม่ประสงค์บังคับคดีกับจำเลยอีกด้วย ซึ่งสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา (ส.ช.น. ) ร่วมกับสภาทนายความฯและกระทรวงยุติธรรมได้จัดทนายความชุดใหม่ เข้าช่วยเหลือทั้งคดีอาญา ข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ฉ้อโกงทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ซึ่งนายพิสิษฐ์ทนายความ ให้การรับสารภาพจนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและคดีแพ่งฟ้องบังคับให้นายพิสิษฐ์ทนายความ ต้องคืนเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่น้องบีมและมารดา
ในส่วนของคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคดีหลักคณะอนุกรรมการของสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาพิจารณาแล้วเห็นว่า การแถลงขอสละสิทธิในการบังคับคดีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะขัดต่อเจตนาที่แท้จริงของโจทก์ จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งหมดออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่มารดาและน้องบีมต่อไป คดีนี้ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ เเต่บริษัท เจ้าของรถบรรทุกยื่นฎีกา
ทั้งนี้ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความได้นำหนังสือมอบอำนาจที่ยังมิได้กรอกข้อความมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อเพื่อให้ดำเนินแทนโจทก์ในการขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาหลังจากนั้น นายพิสิษฐ์ได้นำหนังสือมอบอำนาจที่ยังมิได้กรอกข้อความมากรอกข้อความว่า ให้รับเช็คหรือเงินสดแทนโจทก์และให้ทำสัญญาหรือบันทึกข้อตกลงแทนโจทก์ได้จากนั้น นายพิสิษฐ์ ทนายความ ได้เจรจาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ บริษัท เจ้าของรถบรรทุก จำเลย โดย บริษัท ฯตกลงชำระเงินจำนวน 4,000,000 บาทพร้อมมอบเช็คสั่งจ่ายระบุชื่อ นายพิสิษฐ์เป็นผู้รับเงินรวม 32 ฉบับซึ่งนายพิสิษฐ์ ทนายความนำเช็คบางส่วนไปเรียกเก็บเงิน แต่ไม่นำมาให้แก่โจทก์นอกจากนี้ยังได้นำเช็คที่เหลือจำนวน 29 ฉบับรวมเป็นเงิน 3,050,000 บาทไปขายลดคืนให้แก่ บริษัท เจ้าของรถบรรทุกในราคา 900,000 บาท
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายพิสิษฐ์ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจของโจทก์แล้วนำไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความลดยอดหนี้และรับเงินจาก บริษัท เจ้าของรถบรรทุก จำเลยไม่มีผลผูกพันโจทก์และการที่นายพิสิษฐ์ทนายความนำเช็คไปขายในราคาต่ำกว่ายอดเงินตามเช็คจำนวนมาก ส่อเจตนาไม่สุจริตที่จะไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ ฉนั้นเมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา บริษัท เจ้าของรถบรรทุกจึงมิอาจอ้างว่าตนได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงยังคงมีสิทธิขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไป ส่วนการยื่นคำร้องของนายพิสิษฐ์ถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะบังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสามอีกต่อไปเนื่องจากมีการฟ้องคดีแพ่งตามหนังสือรับสภาพหนี้จากนายพิสิษฐ์ ทนายความด้วย
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำขอของโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าหากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ กับพวกเพียงใดก็ให้มีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น ขั้นตอนต่อไปสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย (ส.ช.น. ) จะมอบหมายให้ทนายความดำเนินการบังคับคดีโดยยึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่นางพรทิพย์ จันทรัตน์และด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่องต่อไป
ว่าที่พันตรีดร.สมบัติกล่าวต่ออีกว่า คดีนี้ศาลฎีกามองว่าโจทก์ทั้งหมดยังไม่ได้รับชำระหนี้จากบริษัท เจ้าของรถบบรทุก การที่นายพิสิษฐ์ ทนายความ นำหนังสือมอบอำนาจแล้วยื่นคำร้องขอสละสิทธิไม่บังคับคดี ยังไม่ถือว่า ฝ่ายโจทก์มอบอำนาจให้ดำเนินการเช่นนั้นและไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในส่วนของคดีที่คุณแม่ของน้องบีม ไปยื่นฟ้องนายพิสิษฐ์ ทนายความ ศาลฎีกาเห็นว่าหากได้รับชำระหนี้มาเเค่ไหนให้หักในยอดนั้นแล้วค่อยมายึดทรัพย์คดีที่มีคำพิพากษาศาลฎีกานี้แต่หากปรากฏว่าทนายความที่ฉ้อฉลดังกล่าวไม่มีทรัพย์และไม่อยู่ในสภาพที่จะชดใช้ได้สิ่งตอนนี้ตัวอยู่ในเรือนจำทางคณะทำงานเนติฯก็จะต้องมอบหมายทนายความมาดำเนินการยึดทรัพย์ในคดีนี้ต่อไป ตอนนี้ถ้าฝ่ายจำเลยมาเจรจายอดหนี้5ล้านกว่าบาทกับครอบครัว ถ้าเจรจาตกลงกันได้ ก็จะเป็นการยุติคดี " ปกติการบังคับคดีตามกฎหมายจะต้องดำเนินการภายใน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา แต่คดีนี้มีการโต้แย้งทางข้อพิพาทกันมาจึงต้องนับจากวันที่ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ถ้าเข้าขั้นตอนบังคับคดีสืบเจอทรัพย์สินเราก็ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อยึดทรัพย์ เเต่หากพบว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามีการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์ก็อาจจะเป็นคดีอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงขึ้นมาใหม่อีกได้
ขณะที่ น.ส.ภัทรดา แก้วผ่อง หรือ น้องบีม กล่าวว่า ปัจจุบัน กำลังศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน. เทียบเท่าชั้น ม.5 อนาคต ก็อยากเดินตามความฝัน คือ อยากเป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ ตอนนี้ช่วยแม่ขายกาแฟสด ที่กรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และใครที่ติดตามเพจ "โกโก้ บราวนี่ by บีม ภัทรดา" ตนเองทำขายและมีคนใจบุญที่เห็นข่าว ก็เข้ามาช่วยเหลือทางเพจ
"จริงๆก็รู้สึกกังวลอยู่นิดๆ ว่า คดีจะเสร็จเหมือนที่หวังไว้หรือไม่ แต่เมื่อวาน น้าทนายความ แจ้งผลคำพิพากษาของศาลฎีกา ว่า เราชนะคดี หนูก็ตื่นเต้นมาก และรู้สึกโล่งใจก็ต้องขอบคุณทนายความทุกๆคนที่อยู่เคียงข้างไม่ทิ้งกัน
"สิ่งที่หนูอยากจะบอกถึงบริษัทรถ บรนทุก คือถ้าคุณดูอยู่ หนูอยากให้คุณเมตตาหนูกับคุณแม่อยากให้เรามานั่งคุยกันว่า ต่อไปนี้เราจะทำอย่างไรดี อยากให้ดูหนูกับคุณแม่ว่าที่ผ่านมาชีวิตเราลำบากกันขนาดไหน จะผ่านแต่ละวัน มันไม่ง่าย เลย" น้องบีม กล่าวตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี