รบ.ทุ่มงบ600ล.
เจรจาซื้อวัคซีนโควิดออกซฟอร์ด
สธ.ยืนยันระยองปลอดภัย
จับมือเอกชนฟื้นท่องเที่ยว
ไทยพบติดเชื้อใหม่อีก8ราย
มาจากอียิปต์-ซูดาน-สหรัฐ
ศบค.เผยไทยติดเชื้อใหม่ 8 ราย พักในที่กักตัวรัฐ หลังกลับจากอียิปต์-ซูดาน-สหรัฐ ด้านรมช.สาธารณสุข ยันระยองปลอดภัย จับมือเอกชนจัดกรมธรรม์จ่าย 1 แสน ใครมาเที่ยวแล้วติดโควิด-19 ระบุการแพทย์สาธารณสุขพร้อมทั่วปท.โดยเฉพาะกทม.รับคนป่วยได้ไม่ต่ำกว่า 150 คนต่อวัน ระบุรัฐทุ่มงบ 600 ล้าน เจรจาออกซฟอร์ดซื้อวัคซีนโควิด-19 ด้านสธ.เข้าร่วมถอดบทเรียนไวรัสโควิดกับ WHO และองค์กรระหว่างประเทศ ชี้ใส่แมสลดรุนแรงระบาดรอบ 2 เตรียมพร้อมใช้ระยองโมเดลปิดบางจุดไม่ปิดทั้งประเทศ ทบ.ส่งทหาร 10 นาย กลับจากฮาวายมีไข้ตรวจหาเชื้อ ที่เหลือ140คน กักตัวในสถานที่กักตัวรัฐ
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.แถลงความคืบหน้าสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประจำวัน ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อ การดำเนินมาตรการป้องกันการระบาด
ติดเชื้อ8จากอียิปต์-ซูดาน-สหรัฐ
พญ.พรรณประภากล่าวว่า วันนี้ ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 8 ราย เข้ารับการกักตัวที่สถานกักกันโรคของรัฐ(State Quarantine) แบ่งเป็นคนไทยที่กลับมาจากอียิปต์ 4 ราย มาจากซูดาน 2 ราย และกลับจากสหรัฐอเมริกา 2 ราย รวมยอดผู้ป่วยในสถานกักกันโรคของรัฐ 332 ราย รักษาหายแล้ว 226 ราย คงเหลือคนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 106 ราย รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,269 ราย รักษาหาย 3,105 ราย ไม่พบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มคงที่ 58 ราย สำหรับสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก พบที่สหรัฐฯยังนำมาเป็นอันดับ 1 พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 7.2 หมื่นราย ตามมาด้วยบราซิลพบเพิ่ม 6.5 หมื่นราย และอินเดีย 4.5 หมื่นราย ถือเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในทวีปเอเชีย และเพิ่มขึ้นสูงถึงเท่าตัวภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
10ทหารจากสหรัฐต้องเฝ้าระวัง
ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม เวลา 18.50น.มีทหารไทยกลับจากฝึกอบรมที่เกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกา โดยเครื่องลงที่สนามบินสุวรรณภูมิทั้งหมด 151นาย ผ่านการตรวจคัดกรองโรค มี 140 นาย ไม่เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค(พียูไอ) หรือมีอาการไข้ ไอมีเสมหะ แต่ส่งเข้าสถานกักกันโรคที่ จ.ชลบุรี ทั้งหมด แต่มี 10 นาย เข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง ส่งรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า และรอผลตรวจโรคอย่างละเอียด มีเพียง 1 ราย ที่เป็นโรคประจำตัวแต่ไม่ใช่โควิด-19 เข้ารับการรักษาเช่นกัน
พญ.พรรณประภา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ไม่ว่าสถานการณ์ระบาดในไทยเป็นอย่างไร แม้มีมาตรการผ่อนปรนแล้ว ก็ยังขอความร่วมมือให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ขอให้สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงคนหมู่มาก
ไทยปท.แรกถอดบทเรียนโควิด
ด้านนพ. ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ไทยเข้าร่วมถอดบทเรียนการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 โดยทีมจากองค์การอนามัยโลก องค์กรระหว่างประเทศ และสถาบันในประเทศ ระหว่างวันที่ 20-24 กรกฎาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี มีผู้แทนและผู้ปฏิบัติงานจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมกว่า 100 คน ใน 9 เสาหลักสำคัญต่อการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ได้แก่ 1) การประสานงาน วางแผน ติดตามและประเมินผลระดับประเทศ 2) การสื่อสารความเสี่ยงและการมีส่วนร่วมของชุมชน 3) เฝ้าระวัง สอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัส 4) ช่องทางเข้าออกประเทศ 5) ระบบห้องปฏิบัติการแห่งชาติ 6) การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ 7) การจัดการผู้ป่วย และการแบ่งปันความรู้ นวัตกรรมและการวิจัย 8) การสนับสนุนการปฏิบัติงานและการขนส่งในห่วงโซ่อุปทาน และการจัดการกำลังคน และ 9) การบำรุงรักษาด้านบริการสุขภาพที่จำเป็นระหว่างการระบาดของโรคโควิด 19 โดยไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่เข้าร่วมถอดบทเรียนการดำเนินงานจัดการปัญหาโรคโควิด 19 โดยใช้เครื่องมือที่องค์การอนามัยโลกพัฒนาขึ้นมาใหม่
นพ.สมบัติ แทนประเสริฐสุข นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า การที่ไทยเข้าร่วมถอดบทเรียนการระบาดของเชื้อโควิด 19 ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานป้องกันควบคุมโรค พัฒนาระบบบริหารจัดการภายใต้ภาวะฉุกเฉินให้ดียิ่งขึ้น เพื่อก้าวไปสู่ความมั่นคงด้านสุขภาพของประเทศไทย พร้อมรับมือกับการระบาดระลอกสองที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ แม้ในไทยจะไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศมาหลายสัปดาห์แล้วแต่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อในทั่กักตัวรัฐ ซึ่งกลับจากต่างประเทศ ดังนั้น ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในการป้องกันโรค
สธ.ย้ำใช้ชีวิตวิถีใหม่เน้นใส่แมส
ขณะที่นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า หลังมีการผ่อนปรนระยะต่างๆ ภาคสังคมและภาคกิจการเริ่มเปิดดำเนินกิจการกิจกรรมมากขึ้น แต่ที่สำคัญแม้สถานการณ์ในประเทศจะดีแต่ทั่วโลกยังมีปัญหา ฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำควบคู่กับการผ่อนปรน เพื่อให้เศรษฐกิจสังคมขับเคลื่อน คือ การดำเนินชีวิตวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งภาคส่วนสำคัญเรื่องขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ อุตสาหกรรมและการค้า จึงต้องป้องกันไม่ให้เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สถานที่ทำงาน เพราะข้อมูลที่มาส่วนหนึ่งของผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเป็นผู้ทำงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้าและภาคบริการ ดังนั้น ในการป้องกัน ได้ดำเนินการเรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ในสถานประกอบการ ป้องกันไม่ให้บุคลากรติดเชื้อโควิด-19 เพราะเมื่อติดก็ต้องมีมาตรการปิดสถานที่ ซึ่งทุกคนทุกภาคส่วนในองค์กร ต้องเคร่งครัดในการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง
ใช้ระยองโมเดลรับมือระลอก2
นพ.สุวรรณชัยกล่าวต่อว่า การตั้งเป้าว่าไทยไม่มีผู้ป่วยเลยจนกว่าจะมีวัคซีนนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะทั่วโลกระบาดอยู่จำนวนมาก และท้ายที่สุดเป็นไปได้ที่จะระบาดในไทย แต่ต้องคุมการระบาดให้อยู่ในระดับที่จัดการได้ เมื่อมีผู้ติดเชื้อก็ต้องดูแลควบคุมให้โรคสงบโดยเร็ว หากจำเป็นต้อง ล็อกดาวน์ก็เลือกเฉพาะบางจุด ไม่ใช่ทำทั่วประเทศ เหมือนที่จ.ระยองเป็นโมเดลและเชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการต่างๆเป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องการให้เกิดการระบาด ในสถานประกอบการแน่นอน
“ระลอก 2 หากเกิดขึ้นจะไม่มีลักษณะเหมือนระลอกที่ 1 ด้วยปัจจัย 3 ข้อคือ 1.ไม่ได้ปล่อยให้ผู้คนเข้าประเทศ โดยไม่จัดการ 2.ระลอกหนึ่ง คนทั้งสังคมยังไม่ดำเนินการเรื่องมาตรการสาธารณสุขทั้ง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันประชาชนมากกว่าร้อยละ 80 ป้องกันตนเอง และ 3.การเตรียมความพร้อม และประสบการณ์ภาครัฐ เอกชนและประชาชน ที่บูรณาการและเตรียมทรัพยากรไว้
ย้ำระยองปลอดภัยเร่งฟื้นท่องเที่ยว
นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวในการแถลงข่าวโครงการ “พักระยองอุ่นใจ รับฟรีความคุ้มครองโควิด-19 “ว่า ขณะนี้แม้ไทยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด -19 เป็นศูนย์ แต่ในต่างประเทศยังมีคนติดเชื้อและเสียชีวิตสูง แต่เราจำเป็นต้องเปิดประเทศ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ธุรกิจท่องเที่ยว จึงเปิดให้คนต่างชาติกลุ่มต่างๆ เข้ามาซึ่งเราอนุญาตในกลุ่มประเทศที่เสี่ยงน้อยที่สุด แต่หลังเกิดกรณีนายทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด 19 มาในจ.ระยอง ต้องยอมรับว่าการท่องเที่ยวระยองได้รับผลกระทบมาก การจองห้องพักลดลงเป็นศูนย์ทันที แต่ทุกส่วนเร่งแก้ปัญหาเป็นระบบ รวดเร็ว เร่งฟื้นความเชื่อมั่น ฟื้นฟูการท่องเที่ยวจ.ระยอง ขอบคุณทุกคนที่ร่วมสร้างให้จ.ระยองเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวช่วงนี้ จากการตรวจติดตามถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย 99% หากครบระยะเฝ้าระวัง 14 วันแล้วยังไม่มีติดเชื้อเพิ่มถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย 100% ซึ่งวันที่ 24 กรกฎาคมจะมีการตรวจเชื้อซ้ำ
รบ.ทุ่ม600ล้านซื้อวัคซีนอ๊อกฟอร์ด
นายสาธิตกล่าวต่อว่า ตนเข้าใจหลายคนตื่นตระหนก แต่เราจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ การแพทย์สาธารณสุขของเราพร้อมทั่วประเทศ เฉพาะในกรุงเทพฯ มีศักยภาพรองรับผู้ป่วยไม่ต่ำกว่า 150 คนต่อวัน เราต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้โรคนี้มีเพียงประมาณ 35% ที่มีอาการ และมี 5% ที่อาการรุนแรง ส่วนอัตราเสียชีวิตเฉลี่ย 2% ถ้าเทียบแล้วไข้เลือดออก และอุบัติเหตุมีอัตราเสียชีวิตมากกว่า แต่ประเด็นสำคัญคือ เชื้อโควิด-19 เป็นโรคระบาด จึงต้องมีมาตรการควบคุมป้องกันเข้มข้นจนกว่าจะมีวัคซีนใช้ ขณะนี้มีหลายตัวในโลกที่ก้าวหน้า มีความหวังเริ่มทดลองในคนคือ มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณ 600 ล้านบาท นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีต รมว.สธ.เจรจาขอซื้อ ซึ่งทราบว่าตอนนี้เกาหลีพยายามเจรจาอยู่เช่นกัน ส่วนของไทยพัฒนาอยู่หลายตัว ที่มีความก้าวหน้ามากคือที่พัฒนาโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งผ่านการทดลองในลิงแล้ว คาดว่าเร็วสุดน่าจะประมาณกลางปี 2564
ประกันจ่าย1แสนเที่ยวระยองติดเชื้อ
ด้านนายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ร่วมกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอลจำกัด (มหาชน) หรือ GC มอบความคุ้มครองพิเศษโควิด-19 ให้นักท่องเที่ยวที่เข้าพักโรงแรมและค้างคืนในจ.ระยอง และลงทะเบียนรับสิทธิ์ Line @Muangthailife ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม -31 สิงหาคม 2563 จำนวน 5 หมื่นรายแรกที่ลงทะเบียน หากติดเชื้อโค-19 และนอนรักษาตัวในรพ.รับความคุ้มครองเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตทุกกรณียกเว้นฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมโดยผู้รับผลประโยชน์จำนวน 50,000 บาท อายุรับประกันตั้งแต่ 0-70 ปี ระยะเวลาความคุ้มครอง 30 วันนับตั้งแต่วันที่เริ่มเข้าพักในโรงแรมวันแรก ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยต้องไม่มีประวัติการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทย 14 วัน ก่อนวันเริ่มต้นความคุ้มครอง ทั้งนี้ การลงทะเบียนและเข้าพักที่กรอกข้อมูลให้ครบ กดยืนยัน จากนั้นรับข้อความยืนยันได้รับความคุ้มครอง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1766 หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th
ตรวจเชื้อทหาร10นายกลับจากสหรัฐ
ขณะที่พล.อ.ณฐพนธ์ ศรีสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กองทัพบก (ศบค.ทบ.) เปิดเผยถึงกรณีทหารกองร้อยทหารราบ RTA Combat Team กำลังผสม จากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 ซึ่งประกอบด้วย นายทหารสัญญาบัตร จากทุกกองทัพภาค , นายทหารประทวนและนักเรียนนายร้อย จปร.ชั้นปีที่ 5 รวม 151 นายเดินทางกลับจากฝึกผสม รหัส Lightning Forge 2020 ที่ค่ายทหารสกอร์ฟิลด์ มลรัฐฮาวาย สหรัฐฯมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเครื่องเช่าเหมาลำ สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG8087 เมื่อช่วงเย็นวันที่ 22 กรกฎาคม ในจำนวนนี้พบมีไข้และมีน้ำมูกเล็กน้อย 10 นาย ส่วนอีก 1 นายมีอาการบาดเจ็บนิ้วหักจากการฝึก ต้องผ่าตัด จึงส่งเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าคราวเดียว เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างละเอียด โดยทหารทั้งหมดถูกแยกตัวจากผู้ป่วยทั่วไป ประชาชนสบายใจได้ ซึ่งจะทราบผลตรวจเชื้อวันนี้ และรายงานตรงไปยัง ศบค.ทันที ส่วนผู้ผ่านการตรวจคัดกรอง 140 นาย คณะนายทหารจากกองทัพบก และกรมแพทย์ทหารบกได้เข้ากักตัวที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียน จ.ชลบุรี สถานที่ควบคุมแห่งรัฐ (State Quar-antine) ยืนยันไม่มีการแวะพักที่ใดและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นายกฯขอทุกฝ่ายรวมไทยสร้างชาติ
ที่กระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม กล่าวหลังเป็นประธานประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2563 ว่า สิ่งสำคัญวันนี้คือ การขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศและในประเทศให้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน เป็นความท้าทาย โดยขึ้นกับความร่วมมือร่วมใจของทุกคนคือ รวมไทยสร้างชาติ ที่ทุกกลุ่มทุกส่วนราชการ รัฐบาล นักการเมือง ต้องตั้งใจสร้างชาติไปสู่การพัฒนาได้โดยเร็ว
“วันนี้เราต้องปรับการทำงานของกระทรวงการประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล รวมถึงการใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นนโยบายด้านต่างประเทศของรัฐบาล เพื่อมาช่วยสนับสนุนฟื้นฟูธุรกิจของไทย โดยวันนี้เราฟื้นฟูในประเทศด้วยการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องระมัดระวังตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง การบริหารแบบนี้ไม่ง่ายและไม่ได้ยากเกินไปจนทำไม่ได้ ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกัน”นายกฯกล่าว และว่า เราต้องเตรียมการเมื่อหมดยุคโควิด-19 แล้ว ทั้งเปิดเที่ยวบิน การนำคนเข้ามา ต้องผ่านการคัดกรองตามมาตรการสาธารณสุขตั้งแต่ต้นทาง ทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกัน วันนี้เราต้องปรับระบบราชการให้เป็นลักษณะ New Normal ปรับภายในองค์กรบุคลากร รวมถึงการบูรณาการงานร่วมกันในระดับรัฐบาล กระทรวง หากมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายก็ไปดูร่วมกันในกฤษฎีกาจะได้เร็วขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกการทำงานให้เป็นไปด้วยดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี