เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Thira Woratanara" ระบุว่า ปุจฉา-วิสัชนา...ส่งถึงคน/กลุ่มคน/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดย รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตัดเนื้อความมาจากเวทีเสวนาหนึ่งเร็วๆ นี้
1. ปุจฉาจากคุณ:
แม้จะปิดประเทศทางอากาศได้ ก็ยังมีความเสี่ยง จากชายแดนทางบก โดยเฉพาะสหภาพเมียนมาร์ ที่ติดกับบังคลาเทศ และอินเดีย และทางน้ำจากชาวประมงที่ไปจับปลาในน่านน้ำ มหาสมุทรอินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์...
ดังนั้นเลยเสนอให้เปิดประเทศ?
วิสัชนาจากผม:
ตรรกะวิบัตินะครับ...การอ้างว่าปิดทางหนึ่งได้ แต่อีกสองทางอาจหลุดรอดเข้ามาได้ ดังนั้นเลยเปิดมันให้หมดแบบนี้
เหตุใดจึงไม่หาทางจัดการให้รัดกุม เพื่อลดโอกาสหลุดรอดเข้าเมืองทางบกและทางน้ำ
2. ปุจฉาจากคุณ:
สถานการณ์ที่น่าจะดีที่สุด เมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่คือ แบบประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาคือ มีผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศทุกวัน แต่ไม่เกินความสามารถของระบบสุขภาพของประเทศที่จะรองรับได้
วิสัชนาจากผม:
ตรรกะวิบัติไปใหญ่แล้วนะ...การที่ประเทศเราคุมได้ดี แต่ตั้งใจจะเปิดเมืองและเล็งอยากไปเป็นแบบประเทศที่มีติดเชื้อหลายสิบจนวันนี้ขยับไป 113 ต่อวัน
ผ่านการกลั่นกรองด้วยสติ ปัญญา คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมหรือไม่?
สิ่งที่ควรทำคือ ตั้งเป้าที่จะลดโอกาสการติดเชื้อของคนไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เปิดในสิ่งที่จำเป็นต้องเปิด และประคับประคองชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
3. ปุจฉาจากคุณ:
หากเกิดการระบาดระลอกใหม่ ระบบบริการสุขภาพ จะสามารถรองรับได้หากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่เกิน 250 หรือสูงสุดไม่เกิน 500 คนต่อวัน
เรามีเตียงรับผู้ป่วยโควิดอาการหนักพร้อมแพทย์พยาบาลที่ได้ฝึกมาอย่างดี และมีประสบการณ์จากการระบาดรอบแรกแล้ว พร้อมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์และเครื่องใช้ในการรักษาและป้องกันตนเองครบ ราว 500 เตียง และหากจำเป็นอาจเพิ่มได้ถึง 1,000 เตียง ถ้าคิดว่าผู้ติดเชื้อ 100 คนจะมีอาการหนัก 5 คน และแต่ละคนนอน 40 วัน เราจะสามารถรองรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ วันละ 250-500 คน ดังนั้นหากการระบาดระลอกใหม่ ทำให้มีผู้ติดเชื้อวันละไม่เกิน 500 คน ระบบบริการสุขภาพของเรารองรับได้
ในการระบาดรอบที่แล้ว มีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละราว 100 คน แปลว่าเราสามารถรองรับการระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมถึง 2.5-5 เท่าได้ และนอกจากนี้เรายังมีทักษะในการดูแลรักษาดีขึ้น
...แปลว่ากำลังจะบอกว่ายอมให้ติดเชื้อกันได้เป็นร้อยๆ คนต่อวัน?
วิสัชนาจากผม:
โคตรโหดเลยนะครับ...แนวคิดแบบนี้ ที่ตั้งบนฐานการคำนวณตัวเลขแล้วมาย้อนกลับมาเพื่อเป็นตรรกะผลักดันให้เปิดประตูอ้าซ่า
ถามคนทำงานในระบบสุขภาพไหมว่า อยากจะเสี่ยงมาสู้กับโรคไหม? อยากจะทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้วไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวนำพาเชื้อไปติดสมาชิกในครอบครัวไหม?
ไล่ไปไล่มา...อาจเป็นแนวคิดจากกลุ่มคนที่อยู่บนหิ้ง ไม่ได้ลงไปคลุกกับหน้างาน มีอุปกรณ์พร้อมสรรพต่างจากคนหน้างาน รวมถึงไม่เคยติดเชื้อ
แถมบอกความจริงไม่หมดนี่ครับ อุปกรณ์ที่บอกว่าครบน่ะ...พอใช้กี่วันครับ? ครบกับเพียงพอสำหรับการต่อสู้ระยะยาวน่ะไม่เหมือนกันนะครับ
แนวคิดแบบนี้...ไม่ขอรู้จักกันครับ
4. ปุจฉาจากคุณ:
จะมีวัคซีน ที่ได้ผลในการป้องกันและ รักษาโควิดเมื่อไรไม่มีใครบอกได้ คาดว่าอย่างเร็วก็ปลายปีนี้ หรือภายในกลางปีหน้าอาจมีวัคซีน หรืออาจไม่มีในระยะเวลาอันไกล้ก็ได้
ขณะนี้วัคซีนยังอยู่ระหว่างการวิจัย ในระยะต่างๆกัน ไม่มีใครทราบว่าเมื่อไรจะมีวัคซีนที่ได้ผลอย่างน้อย 50% ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยอมรับได้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอาจจะเริ่มมีวัคซีนบางตัวออกมาภายในปีนี้ และมีหลายตัวจะออกมาในปีหน้า แต่ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าจะมีเมื่อไร
ที่สำคัญก็คือ เมื่อมีวัคซีนที่ได้ผลแล้ว ประเทศไทยจะได้รับและคนไทยจะได้ใช้เมื่อไร องค์กรระดับโลกร่วมกันตั้งเป้าหมายว่า ภายในปีหน้า จะจัดหาวัคซีนให้กับประเทศกำลังพัฒนาได้ 20% ของประชากร คือราว 2,000 ล้านโดส ประเทศไทยจะต้องตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมโครงการระดับโลกนี้ โดยจ่ายเงินค่าวัคซีนล่วงหน้าหรือไม่ ซึ่งก็มีความเสี่ยงว่า ถ้าวัคซีนที่เลือกไว้ 7 ชนิด เกิดไม่สำเร็จเลยแม้แต่ตัวเดียว ก็เสียเงินเปล่า และต้องมีการจัดลำดับความสำคัญไว้ล่วงหน้าว่าถ้ามีวัคซีนที่ได้ผล ประชาชนกลุ่มไหนจะได้ก่อน
สำหรับเรื่องยา ในขณะนี้ยังไม่มียาตัวใดที่มีการพิสูจน์ว่า ได้ผลในการรักษาโควิด อย่างชะงัด มีเพียงการศึกษาที่ใช้ยาสเตียรอยด์ช่วยลดอัตราตายในผู้ป่วยหนักได้ ราวกว่า 10% และยา เรมเดสซิเวียร์ ที่มีราคาเกือบแสน ในสหรัฐอเมริกา ก็เพียงช่วยให้กลับบ้านเร็วขึ้นสี่วัน แต่ไม่ลดอัตราการตาย
วิสัชนาจากผม:
สรุปง่ายๆ คือ ยังไม่มียามาตรฐาน ยาที่มีใช้อย่าง Remdesivir ของอเมริกานั้นแพงมาก ยากที่จะให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง
ส่วนวัคซีนนั้นยังเป็นความฝัน และถึงมี ก็จะต้องเสี่ยงลงขันไป หากได้ก็ได้แค่ 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อยับยั้งการระบาดแน่ๆ ได้วัคซีนมาก็จะมีโอกาสได้แบบฝนตกไม่ทั่วฟ้า คนกลุ่มเสี่ยงอาจได้ก่อน แต่หากถือว่าบุคลากรทางการแพทย์เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อและจะได้ก่อนนั้น เคยถามพวกเราไหมว่า เรากล้าและเต็มใจที่จะรับวัคซีนหรือเปล่า?
แต่จากประสบการณ์ เดาว่า พอได้วัคซีนมา พวกที่จะแย่งกันไปก่อน จะเป็นเหล่านักบริหารที่กลัวติดเชื้อครับ
5. ปุจฉาจากคุณ:
คุณเสนอข้อเสนอสามข้อ อันได้แก่
ข้อเสนอที่ 1 เปิดเมืองให้กว้างขึ้นและเปิดประเทศให้เศรษฐกิจเดินได้ คนมีงานทำ โดยหลักการสามข้อ
1.1) ไม่ตั้งเป้าผู้ติดเชื้อใหม่เป็นศูนย์ ยอมให้มีได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะต้องตกลงกันว่าจะเป็นเท่าไร 100, 200 หรืออาจถึง 500 ต่อวัน
1.2) ดำเนินการเปิดเป็นขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง และเข้มงวดในเงื่อนไขต่างๆ โดยไม่ให้มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ภายใต้กลไกที่มีส่วนร่วมอย่างจริงจังทั้งภาครัฐ เอกชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมและชุมชน การเปิดประเทศก็เลือกมาตรการตามสถานการณ์การระบาดของประเทศนั้นๆ เช่นเดียวกับตอนเริ่มปิดประเทศ คือใช้ระบบ “แง้มประตู”
1.3) หากมีการระบาดเกิดขึ้นในวงแคบ ก็จัดการด้วยการควบคุมโรค หรือหากจำเป็นต้องล็อกดาวน์ก็ทำจำกัดเฉพาะพื้นที่ มาตรการต่างๆที่จะใช้ให้เลือกใช้ ตามพื้นที่และจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ ที่พบในแต่ละวัน และต้องมีประสิทธิภาพ ทันเวลา
ข้อเสนอที่ 2 ไม่ต้องรอวัคซีนและยา แต่เร่งสร้างความเข้มแข็งของ “วัคซีนสังคม” อย่างต่อเนื่อง เรามีวัคซีนสังคม ที่ได้ผลชะงัด และมีต้นทุนต่ำ และประชาชนทำเองได้ ไม่ต้องใช้บุคลากรสาธารณสุข ได้แก่
รณรงค์ให้ประชาชนและสถานที่ทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน พัฒนาเข้าระบบการใช้ชีวิต และการทำงานแบบใหม่ อย่างต่อเนื่อง ให้เป็น นิวนอร์มอล ที่สามารถทำงานที่บ้านได้อย่างน้อยเป็นบางวัน ตลอดไป ไม่เลิกเมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติ ประชาชนต้อง “ตระหนักแต่ไม่ตระหนก” ระบบบริการสุขภาพก็ดำเนินการบริการสุขภาพและบริการส่งมอบยาผ่านร้านขายยาและทางไปรษณีย์ แม้กระทั่งการเจาะเลือดตรวจ ที่บ้านหรือไกล้บ้าน ไม่แออัดและลดเวลาการรอคอย
กระตุ้นให้ประชาชนและชุมชน รักษาระดับการป้องกันการระบาด โดยเฉพาะการเดินทาง การรักษาระยะห่างทางสังคม การล้างมือบ่อยๆ และการใส่หน้ากาก รวมทั้งการใช้แอป “ไทยชนะ”อย่างถ้วนหน้า
ประชาชนทุกคนร่วมกันในการเป็นนักเฝ้าระวังและสอบสวนโรค สามารถเอกซ์เรย์ทุกตารางนิ้วของประเทศได้ เพื่อหาผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัส เราก็จะมี “ตำรวจโควิด” หลายสิบล้านคนทั่วประเทศ
ข้อเสนอที่ 3 พัฒนาระบบการเยียวยาทางเศรษฐกิจ ทั้งในภาคการเงินและภาคการผลิต
วิสัชนาจากผม:
อย่างข้อ 1.2 และ 1.3 นั้นโอเคนะครับ แต่ข้ออื่นเป็นนามธรรมมาก
นอกจากนี้ ความคิดที่ตั้งต้นจะกำหนดจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยอมให้ติดเชื้อในประเทศ จะเป็น 100-500 ต่อวันนั้น...ถามจริงเหอะ ใจคอทำด้วยอะไรวะ?
หากคุณติดเอง หรือครอบครัวคุณติด อย่าขอสิทธิ VIP นะครับ
ไม่ชอบครับกับเรื่อง double or triple or quadruple standard...
ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อมั่นในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อดทน อดกลั้น อดออม พอเพียง ยืนบนลำแข้งตนเอง ลดการพึ่งพา
หากประชาชนได้อ่านทำความเข้าใจสถานการณ์ข้างต้นทั้งหมดนั้นแล้ว ผมคิดว่าถึงเวลาที่พวกเราทุกคนต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้นะครับ
สิ่งที่ส่วนตัวพอจะทำได้ก็พยายามเต็มที่แล้ว ถ้าสถานการณ์เป็นไปตามที่เค้าจะผลักดันจริง เราคงทำได้ดีที่สุดเพียงคำแนะนำที่ผมมีต่อท่านดังต่อไปนี้
1. เริ่มเตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้เพียงพอนะครับ ทั้งหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เจลแอลกอฮอล์หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ จัดห้องหับที่บ้านให้เหมาะสมและเผื่อฉุกเฉินที่ต้องแยกตัวกักตัวของสมาชิกในบ้าน เพราะเค้าแพลมออกมาว่า คาดว่าจะเห็นการระบาดซ้ำแน่ อาจเริ่มเห็นตั้งแต่กันยายนนี้
2. วางแผนการทำงานของเรา และการเรียนของเด็กๆ ให้ดี คิดเผื่อไว้ด้วยว่าหากมีปัญหา จะทำงานจากบ้านอย่างไร ตามการเรียนอย่างไร
3. คนที่เป็นหัวหน้างาน ขอให้แบ่งทีมงานอย่างน้อยสองทีม เผื่อสลับกันทำงานได้ หากจัดระบบงานเป็นแบบทำงานที่บ้านบางเวลาหรือบางวันได้ก็น่าจะดำเนินการให้เป็นกิจวัตรตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยก็ดี จะได้ลดความแออัดในสถานที่ทำงาน จัดระบบการประเมินผลงานของบุคลากรเป็นแบบ outcome based evaluation ยุคนี้คงต้องลดความเฮี้ยบเรื่องการเช็คชื่อหรือบังคับให้คนมาปรากฏตัวในที่ทำงาน
4. ฝึกตนเองและสมาชิกในครอบครัวให้มีนิสัยติดตัวคือ ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างจากคนอื่นหนึ่งเมตรเสมอ พูดน้อยๆ พบปะคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดที่ชุมนุมที่อโคจร และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบายให้รีบไปตรวจรักษาโดยเร็ว
5. ใช้จ่ายอย่างประหยัด อดทน อดกลั้น อดออม และพอเพียงนะครับ
ด้วยรักต่อทุกคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี