“ผบช.สตม.” นำแถลง ตม.3 รวบขบวนการขนคน เหิมเกริมไม่หลาบจำ ประกันตัวแล้วกระทำผิดซ้ำทันที
29 กรกฎาคม 2563 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) , พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ , พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ผบก.ตม.3 , พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ , พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าว การจับกุม 1.นายเอกพจน์ อายุ 46 ปี สัญชาติไทย 2.นายฮง อายุ 37 ปี สัญชาติกัมพูชา 3.นายที อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา
ทั้งนี้ กล่าวหาผู้ถูกจับที่ 1 ว่า “รู้ว่าคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ผู้ถูกจับที่ 2 และ 3 ว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมด้วยของกลาง รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กรุงเทพฯ พร้อมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง และสมุดควบคุมรายรับรายจ่าย จำนวน 2 เล่ม
สืบเนื่องจากชุดจับกุมได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีกลุ่มขบวนการลักลอบนำคนต่างด้าวเพื่อเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ซึ่งบุคคลต่างด้าวกลุ่มดังกล่าวมีการลักลอบเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยไปแล้ว และมีการลักลอบเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีกครั้ง ตามช่องทางธรรมชาติบริเวณ ชายแดนด่านบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยทราบว่าปัจจุบันมีการปิดด่านพรมแดน เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยครั้งนี้จะมีกลุ่มขบวนการดังกล่าวนำคนต่างด้าว เดินเท้าข้ามชายแดนฝั่งตลาดบ้านแหลม(ประเทศกัมพูชา)
การเดินทางครั้งนี้จะให้คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาเอง และจะมีการนัดแนะให้นั่งคอยอยู่บริเวณตลาดบ้านแหลม ในเวลาพลบค่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจค้น จับกุม จากนั้นจะนำรถยนต์ไปบรรทุกซุกซ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและลักลอบเดินทางเข้าเมืองชั้นใน โดยกลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวจะถือหนังสือเดินทางตบตาเจ้าหน้าที่หากตรวจสอบ
จนกระทั่งถึงเวลาเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสังเกตเห็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ทอง ทะเบียนกรุงเทพฯ ซึ่งได้สืบสวนทราบว่าเป็นรถเป้าหมายที่มีพฤติการณ์ลักลอบขนคนเข้าเมือง ขับผ่านในบริเวณที่เกิดเหตุ จึงได้ติดตามสะกดรอยจนกระทั่งถึงบริเวณตึกแถวที่เกิดเหตุ จึงได้เข้าจับกุม ผลการจับกุมพบ ผู้ต้องหาที่ 1 ทราบชื่อภายหลังว่าเป็น นายเอกพจน์ อายุ 46 ปี สัญชาติไทย ผู้ถูกจับที่ 1 รับว่า ได้ขับขี่รถยนต์ของกลางไปรับผู้โดยสารประกอบด้วย ผู้ถูกจับที่ 2 และ3 ซึ่งเป็นคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาซึ่งเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย มาหลบซ่อนในจุดที่เกิดเหตุซึ่งตนเป็นผู้ครอบครอง
ต่อมาจากการขยายผลพบว่า ผู้ถูกจับที่ 1 เพิ่งถูกจับกุมในความผิดฐาน “ให้การช่วยเหลือ ซ่อนเร้น คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรฯ” และเพิ่งได้รับการประกันตัวจากศาลจังหวัดจันทบุรี ได้เพียงวันเดียว แต่กลับบังอาจมากระทำผิดซ้ำ โดยไม่เกรงกลัวต่อความผิดแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการจับกุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ประสานภาพ-ข้อมูล : พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รองผบก.ตม.1/รองโฆษก สตม. และ พ.ต.อ.หญิง ทิพวรรณ โยมา ผกก.ฝอ.5(งานประชาสัมพันธ์) บก.อก.สตม.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี