เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวถึงกรณีอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้วหลายกรณีผู้ขับขี่ยายพาหนะไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ ทำนองชนแล้วหนีไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยมามอบตัวภายหลัง ว่า เรื่องนี้ถือเป็นอีกช่องโหว่สำคัญในการดำเนินคดีดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเสพยาเสพติดแล้วขับ ตนเสนอแนะว่าสมควรแก้ไขกฎหมายให้ความผิดฐานชนแล้วหนีมีโทษรุนแรงขึ้นใกล้เคียงกับความผิดฐานเมาแล้วขับ เพราะการที่ผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุหายออกไปจากจุดที่เกิดเหตุอาจทำให้หลักฐานบางอย่างหายไป
เช่น กรณีเมาแล้วขับ แม้ผู้ขับขี่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนและขณะเกิดเหตุมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ทุกๆ 1 ชั่วโมง ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะหายไป 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โอกาสเอาผิดฐานเมาแล้วขับย่อมทำได้ยากขึ้น ส่วนสารเสพติดอื่นๆ อาจจะอยู่ได้นานกว่านั้น นอกจากนี้ ควรกำหนดหน้าที่ให้พนักงานสอบสวนต้องทำเรื่องขอให้แพทย์เจาะเลือดหาแอลกอฮอล์และสารเสพติดของคู่กรณีในคดีอุบัติเหตุร้ายแรง ซึ่งหมายถึงคดีที่มีผู้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตด้วย
"กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจแพทย์ กฎหมายให้อำนาจพนักงานสอบสวน ก็กลับมาตรงนี้ ผมคิดว่าต้องล็อกอีกชั้นหนึ่งคือต้องไม่ใช่เรื่องดุลพินิจแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าก็ไม่สงสัย ไม่ได้กลิ่น อะไรอย่างนี้ ก็เลยไม่ตรวจ กำหนดไปเลยว่ากรณีมีคนตายมีคนเจ็บรุนแรงต้องตรวจทุกราย ถ้าไม่ตรวจถือว่าคุณฝ่าฝืน คุณผิด แล้วคู่กรณีไปฟ้อง ม.157 (ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) ได้ ถ้าอย่างนี้มันจะทำให้รัดกุมกับการทำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์" นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78 ระบุว่า (วรรคหนึ่ง) ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
(วรรคสอง) ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดและให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือได้ตัวผู้ขับขี่ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ ให้ถือว่ารถนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวกับการกระทำความผิดและให้ตกเป็นของรัฐ
ขณะที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 (วรรคหนึ่ง) ระบุว่า ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (วรรคสอง) ถ้าการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือตาย ผู้ไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนความผิดฐานขับขี่ขณะเมาสุรา พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (2) ประกอบมาตรา 160 ตรี (วรรคหนึ่ง) ที่ระบุว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ นอกจากนี้ ในวรรค 2 - 4 ของมาตรา 160 ตรี ยังระบุด้วยว่า หากการเมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย โทษก็จะหนักขึ้นตามระดับอันตราย ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี