ได้เห็น ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิด “โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น” เกิดความรู้สึกว่า “อาชีพครู” คนที่ปิดทองหลังพระมาตลอดนับเป็นร้อยเป็นพันปี น่าจะมีอะไรเคลื่อนไหวไปในทาง“พัฒนา” บ้าง เพราะตลอดเวลานับร้อยนับพันปี ที่กล่าวมา ทุกยุคทุกสมัย อาชีพครู จะถูกก่อกวน กีดกันและแทรกแซง ให้เกิดความมัวหมองของคนในอาชีพนี้อยู่ตลอดเวลา
ขอย้ำว่า “อาชีพครู” หรือคนที่ทำหน้าที่เป็นครูด้วยหัวใจ เป็น บุคคลชั้นเลิศ เป็น ปูชนียบุคคล ที่ควรค่าแก่การนับถือ ยกย่อง จนมีการยอมรับในยุคสมัยหนึ่งว่า “ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของเรา” แต่เพราะ ถูก ก่อกวนกีดกัน แทรกแซง จากผู้ไม่หวังดี แทรกซึมเข้ามาทำให้อาชีพครูตกอยู่ในวังวนของความชั่วร้ายจากผู้แทรกแซง จนทำให้ละเลย และลืมเลือน “ความเป็นครู” ออกไปจากจิตวิญญาณ อาชีพครูปูนียบุคคล ที่เคยได้รับการยกย่องจากคนทั้งโลกค่อยๆ เสื่อมถอยลงไป...แต่ขอยืนยันว่า คนที่ ทำให้อาชีพครูเสื่อมถอยลงไปนั้น ยังเป็นเพียง“กลุ่มน้อย” ส่วน กลุ่มใหญ่ แม้จะมีมากกว่า แต่ขาดผู้นำ ที่ “เข้าใจ และหวังดี”จริงๆ พวกเขาเหล่านี้ จึงเพียงแค่การนั่งมองดูอยู่เพียงเฉยๆ ไม่สามารถจะสร้างปฏิกริยาโต้ตอบความไม่หวังดีที่แทรกแซงเข้ามาได้
เมื่อได้เห็น ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาเปิดโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น จึงถือเป็น นิมิตหมายที่ดีอย่างหนึ่ง ที่จะเป็นแสงสว่างนำทางให้อาชีพ ที่ยังขาดผู้นำที่จริงใจ ได้มีความหวังบางอย่างเกิดขึ้น
ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่รับผิดชอบในสายงานของ กศน. และ สช.คือ การศึกษาเอกชน ซึ่งเท่าที่ ติดตามผลงานของ ท่านตลอดมาจับประเด็นในเรื่องที่เกี่ยวกับ ความผูกพัน ทาง “อาชีพครู” ออกมาได้หลายมิติ เช่น…
- ส่งเสริม เติมเต็ม ช่องว่าง (อันพึงแก้ไขได้) ของคนในอาชีพครูให้สมบูรณ์ คือ ได้มีการหารือกับคุรุสภาและสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ช่วยครู กศน. โดยยกเว้นเรื่องใบประกอบวิชาชีพ 2 ปี ให้ทำหน้าที่เป็นครูได้ก่อน โดยภายในสองปีนี้ ครูที่ยังขาดใบประกอบอาชีพก็รีบจัดการทำให้สำร็จ แทนที่จะถูกกีดกันหรือยกเลิกให้สิ้นสุดความเป็นครู แม้จะได้รับการคัดเลือกบรรจุแต่งตั้งอย่างถูกต้องมาแล้วก็ตาม
- ได้มีการเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลครูเอกชน จาก 100,000 บาท/คน/ปี เป็น 150,000 บาท/คน/ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563
.ได้มีการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนการสอนของครูผู้ดูแลเด็กพิการ ให้มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม มอบค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการ(พ.ค.ก.) อุดหนุนสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อบริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาให้นักเรียน รวมไปถึงพัฒนาศักยภาพครูที่สอนนักเรียนพิการอีกด้วย
- มีการพัฒนาผู้บริหารและครู เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ (O-NET) จำนวน 42,989 คน 2,764 โรงเรียน ใน 4 วิชาหลัก ประกอบด้วยภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
ทำไม? ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “ดร.กนกวรรณวิลาวัลย์” จึงมองเห็นความสำคัญของครู และ โดดเข้ามา ส่งเสริม ช่วยเหลือ “คนอาชีพครู” อย่างจริงจังแบบนี้ หาก ย้อนทบทวนไปถึง แนวความคิดของท่านในเรื่องการศึกษา คงจะประเมินได้ว่า น่าจะมาจาก “ปรัชญาที่มีต่อภาคการศึกษาของท่าน ที่ว่า.....
“การศึกษาให้ความสําคัญกับทุกช่วงวัยตลอดชีวิต การสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่ผู้ด้อย พลาด และขาดโอกาสทางการศึกษาจึงเป็นความสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ คนชายขอบ กลุ่มชาติพันธุ์ผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาเพิ่มมากขึ้น”
จึงไม่น่าแปลก หากว่า หน่วยงาน กศน.ในยุคของ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ จะโดดเด่น มากกว่าทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา (หากไม่มีการแทรกแซงให้ต้องหลุดโผไปเสียก่อน)
ทีนี้ เราลองมามองถึงรายละเอียดในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง
ดร.สิทธิพร เอี่ยมเสน คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยให้ทราบว่าโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น จะเริ่มต้นด้วย กิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์แก่นักศึกษาครู เป็นอันดับแรก โดยกิจกรรมอันเกิดจากโครงการนี้จะเป็น การพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์แก่นักศึกษาครู กล่าวคือ เป็นหัวใจสำคัญที่คนเป็นครูทุกคนต้องมี โดยจัดขึ้นตามเงื่อนไขข้อตกลงในการผลิตครูในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นที่สถาบันผลิตครูต้องดูแลนิสิตนักศึกษา ที่เข้าร่วมโครงการฯ หล่อหลอมจิตวิญญาณความเป็นครู พัฒนาให้มีสมรรถนะตามเป้าหมายครู เพื่อพัฒนาท้องถิ่นตลอดระยะเวลาศึกษาในสถาบัน โดยมี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พร้อมด้วยบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น 137 คนเข้าร่วมโครงการ
ดร.สิทธิพรกล่าวต่อว่า กิจกรรมค่ายพัฒนาครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ปี พ.ศ. 2562มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้นำศักยภาพคณาจารย์บุคลากรทางการศึกษาของคณะครุศาสตร์จัดกิจกรรมพัฒนาและเสริมสร้างสมรรถนะคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้แก่นักศึกษาครูทั้งหมด 4 ด้าน อาทิ ด้านคุณลักษณะส่งเสริมคุณลักษณะความเป็นครู เพื่อให้นิสิตนักศึกษามีความพร้อมในการเป็นครูที่ดีและมีทักษะชีวิตครบทุกด้าน เช่น ความมีวินัยเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ สามารถควบคุมวุฒิภาวะทางอารมณ์ได้ ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน ส่งเสริมความเข้าใจบทบาทครูกับการพัฒนาชุมชน เพื่อให้นักศึกษาครูยอมรับและเคารพในความหลากหลายทางสังคม ด้านอัตลักษณ์ ส่งเสริมความเป็นครูมืออาชีพในรูปแบบสวนดุสิต โดยเน้นการมีบุคลิกภาพที่ดี สื่อสารภาษาอังกฤษได้ และสามารถใช้เทคโนโลยีได้ อย่างคล่องแคล่ว ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน ส่งเสริมความเข้าใจบทบาทครูกับการพัฒนาชุมชน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือพัฒนาชุมชนในแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ ได้
คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ย้ำหนักแน่นว่า ภารกิจข้างต้น จึงเป็นการตอกย้ำศักยภาพของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตอัตลักษณ์ด้านปฐมวัยให้บุคคลภายนอกเห็นอย่างเป็นรูปธรรม และมั่นใจ ว่า กิจกรรมค่ายพัฒนาครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในครั้งนี้ สามารถเพิ่มความเข้มแข็งในการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นให้มีคุณภาพและนักศึกษาครูมีทักษะชีวิต มีจิตวิญญาณความเป็นครู เข้าใจบริบทชุมชน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาสังคม และประเทศชาติต่อไปได้อย่างสมบูรณ์แน่นอน
หัวพร้อม หางพร้อม ทุกภาคส่วนจะเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กันอย่างมีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องรอให้ “หัวส่าย (เสียก่อน) แล้วหางจึงจะกระดิก (ตาม)”
คนในอาชีพครูทุกคนพร้อมจะประกอบเข้าเป็นลำตัวอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อให้กลายเป็นตัวตนที่มั่นคงแข็งแรงหรือยังครับ…
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี