“หมอยง”เผยคาดการณ์สิ้นปีนี้จะมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิดทั่วโลกอยู่ที่ 50 ล้านคน ส่วน 2 คนพบเชื้อที่รพ.รามาฯ ไม่ถือว่าระบาดระลอกที่ 2 เหตุเชื้อมาจากต่างประเทศก่อนหน้านี้หายดีแล้ว แต่จะพบเศษซากเขื้อต้องเพาะเชื้อว่าสามารถโตหรือแบ่งตัวได้หรือไม่
วันที่ 21 สิงหาคม 2563 เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวเรื่อง ”การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2 การกลายพันธุ์” ว่าการระบาดในระลอกแรกในไทยที่เริ่มในต้นเดือนมี.ค. แต่เราสามารถควบคุมการระบาดในระลอกแรกที่สิ้นสุดปลายเดือนเม.ย. ด้วยความร่วมมือของประชาชน และภาครัฐ หลังจากนั้นจะเห็นได้ว่าการระบาดในประเทศเราก็ไม่พบ โดยผู้ป่วยที่นำเข้ามาจากต่างประเทศก็อยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ ทำให้ประเทศไทยไม่มีการระบาดในประเทศเกิน 80 วันแล้ว
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ไม่รู้จะเป็นได้อีกนานแค่ไหน ต้องยอมรับว่าในต่างประเทศมีการระบาดอย่างหนักมาก ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกิน 22 ล้านคน การเสียชีวิตทะลุ 7.7 แสนคน โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีผู้ป่วยติดเชื้อทั่วโลกจะอยู่ที่ 50 ล้านคน และเสียชีวิตที่ 1.5 ล้านคน อย่างไรก็ตามเราพึ่งหวังยาเพื่อนำมาใช้รักษาให้ลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งนี้วัคซีนเราจะได้เห็นภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน เพราะขณะนี้ได้มีการทดลองในระยะที่ 3 แล้ว โดยมี 6 บริษัทร่วมทดลอง
"สำหรับผมโรคนี้เรากำลังต่อสู้เปรียบเสมือนกับเราวิ่งมาราธอน การวิ่งมาราธอนเราต้องมีการผ่อนหนัก ผ่อนเบา ในบางครั้งต้องมีการผ่อนเพื่อหายใจได้บ้าง การเอารวดเดียวเอาให้ยาวตลอดบางครั้งก็จะไม่ไหว ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นคือทุกคนต้องอยู่ได้ จะต้องมีจุดสมดุลร่วมกัน ถึงแม้จะมีการพบผู้ป่วยภายในประเทศ แต่ถ้าพบแล้วอยู่ในระดับที่เราควบคุมได้ เราก็จะต้องยอมรับเพื่อให้ทุกคนสามารถทำมาหากินได้ “ นพ.ยง ระบุ
นพ.ยง ยังกล่าวอีกว่า ส่วนจะเกิดการระบาดในระลอกที่ 2 หรือไม่ ตนเปรียบเสมือนว่าขณะนี้เราสร้างกำแพงมาล้อมรอมประเทศแล้วเราได้มีการวิดน้ำในบ้านให้แห้ง ขณะเดียวกันถ้ามีน้ำเข้ามาจะต้องกักกัน แต่อย่าลืมว่ากำแพงของเรากว้างไกลเหลือเกิน อาณาเขตของประเทศไทยไม่ใช้เฉพาะแค่สนามบินเท่านั้น ยังมีอาณาเขตดินแดนธรรมชาติ มีทะเลกว้างไกล จึงไม่สามารถทราบว่าน้ำจะรั่วเข้ามาเมื่อไหร่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีมาตรการที่ดี ถ้ารั่วแล้วสามารถควบคุมปริมาณไม่ให้เกิดน้ำท่วมได้ อันนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง ถึงแม้จะมีผู้ป่วยหลุดเข้ามาแล้วสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดใหญ่เป็นหลักพันหลักหมื่นได้ เราก็ควรช่วยกัน
นพ.ยง ระบุว่า หลายประเทศมีความเข้มแข็งในการควบคุมโรคมาก เช่น เวียดนามแม้จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศกว่า 99 วัน ก็ยังพบผู้ติดเชื้อได้ นิวซีแลนด์ ควบคุมได้ 102 วัน ก็เกิดการแพร่ระบาดใหม่ ในส่วนญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งสามารถควบคุมโรคได้ดี ก็มีการระบาดในระลอกที่ 2 ส่วนสิงคโปร์ก็มีผู้ป่วยทะลุ 50,000 กว่าราย
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าการระบาดส่วนใหญ่ของโรคโควิด-19 จะเกิดในผู้ใหญ่ก่อนซึ่งเป็นผู้นำเข้าเชื้อ และเริ่มแรกจะมีการระบาดในเขตเมือง และจะมีการแพ่กระจายไปในชุมชนเล็ก หรือชนบท เมื่อเชื้อกระจายไปไกลเมื่อไหร่การควบคุมก็โรคก็จะยากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือเชื้อจากผู้ใหญ่มาสู่เด็ก ดังนั้นถ้าผู้ใหญ่ไม่นำเชื้อไปให้เด็กที่โรงเรียน เด็กก็สามารถเรียนด้วยความสบายใจ หลายคนคงไม่อยากให้มีการระบาดในระลอกที่ 2 แต่ถ้ามีการระบาดจริง ถ้าเราอยู่ในสถานะที่สามารถควบคุมได้ แล้วทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้ ก็จะเป็นสิ่งที่เรายอมรับได้
นพ.ยง ยังกล่าวถึงกระแสข่าวถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อถ้ามีการระบาดของระลอกที่ 2 ว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าไวรัสตัวเล็กก็จะมีการวิวัฒนาการ ซึ่งไวรัสโควิด-19 มีการแบ่งตัวที่เร็วมาก วิวัฒนาการของเชื้อเมื่อมีลูกหลานก็จะมีการสืบบรรพบุรุษ จะเห็นว่าเริ่มจากจีนที่เป็นสายพันธุ์ S และ L สายพันธุ์ไทยก็เช่นกันที่พบบ่อยคือ S เมื่อเข้ามาแพร่กระจายในไทยในระลอกที่ 1 เชื้อก็ออกลูกหลายมาเป็นสายพันธุ์ T ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโน 1 โดยไม่ได้ทำให้เชื้อมีความรุนแรงขึ้น และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องวัคซีน แต่สายพันธุ์ L เมื่อไปแพร่ระบาดในยุโรปก็วิวัฒนาการเป็นสายพันธุ์ G โดยคุณสมบัติคือสามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วกว่าสายพันธุ์อื่นมาก แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเชื้อมีความรุนแรงขึ้น หรือทำให้มีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น รวมถึงไม่บ่งบอกว่าวัคซีนที่สร้างขึ้นมาจะกันไม่ได้
ดังนั้น จึงอยากทำความเข้าใจว่าสายพันธุ์ต่างๆที่มีการตั้งชื่อ จะช่วยให้เราสามารถหาต้นตอได้ว่าเชื้อเหล่านี้มีที่มาจากที่ไหน จึงสามารถช่วยเรื่องการระบาดวิทยา ดังนั้นจะบอกว่าสายพันธุ์ไหนรุนแรงกว่ากันนั้นไม่จริง ขณะนี้กระทั่งคนไข้ใน State Quarantine ตนก็ได้นำไวรัสมาถอดรหัสพันธุกรรมซึ่งทั้งหมดเป็นสายพันธุ์ G แต่สายพันธุ์ที่มีการระบาดในพื้นที่คือสายพันธุ์ S เพราะฉะนั้นการระบาดในระลอก 2 คงไม่ใช่สายพันธุ์ S เดิมเหมือนในระลอกแรก เพราะเราไม่พบสายพันธุ์ S มา 80 กว่าวันแล้ว แต่ถ้ามีการระบาดแล้วเป็นสายพันธุ์ S เหมือนในระลอกแรก ก็จะได้เป็นบทเรียนว่าเชื้อนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
นพ.ยง กล่าวถึงการพบเชื้อในไทยเมื่อ 2 ที่ผ่านมาว่า คนไข้รายที่ 1 ที่เข้ามาในไทยจนมาตรวจวินิจฉัยว่ามีไวรัสหลังจากกลับบ้านไปแล้ว รวมทั้งสิ้นห่างจากวันที่เข้ามาไทยวันแรก ระยะเวลายาวนานถึง 75 วัน และคนไข้รายที่ 2 เข้ามาในไทยจนถึงการตรวจพบเชื้อเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น กินเวลาถึง 50 วัน ทุกคนจึงตกใจว่ามีการติดเชื้อในประเทศหรือไม่ อยากเรียนว่าระยะฟักตัวของโรคนี้ส่วนใหญ่เมื่อรับเชื้อแล้วมักจะเกิดอาการขึ้นภายใน 2-7 วัน และส่วนน้อยจะเกิดขึ้นภายใน 14 วัน อีกทั้งส่วนน้อยมากๆจะเกิดขึ้นภายใน 21 วัน แต่ในทางปฏิบัติเราคิดว่า 14 วันก็น่าจะเพียงพอ และเมื่อพ้นจาก State Quarantine ก็แนะนำให้ทุกคนไปเก็บตัวที่บ้านอีก 14 วันอย่างน้อยให้ครบ 1 เดือน เพื่อจะได้เก็บตกไม่ให้หลุดในระยะฟักตัว
แต่ข้อสงสัยที่ว่าจะสามารถติดเชื้อกันได้ใน State Quarantine หรือไม่นั้น แจงว่ากฎเกณฑ์ในการกักตัวคือพยายามให้ทุกคนเก็บตัวโดยไม่ให้มีการเจอกัน 14 วัน เพราะฉะนั้นการติดเชื้อกันในState Quarantine นั้นแทบไม่มี หรือว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะติดเชื้อในประเทศ ยืนยันว่าไม่ใช่เพราะถ้าติดจริงเราต้องเห็นคนที่ติดเชื้อเพิ่มแล้ว เพราะในไทยไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศมานานเกินกว่า 80 วันจึงเหลืออีกประเด็นที่มีความเป็นไปได้สูง คือทั้ง 2 รายติดเชื้อมาจากต่างประเทศอย่างแน่นอน แล้วตอนที่เข้ามาในไทยอาจจะหายแล้วก็ได้ หรือตอนเข้ามาอาจไม่มีอาการ มีเชื้อในปริมาณที่น้อยมากซึ่งตรวจใน State Quarantine จึงตรวจไม่พบ
“แต่ทำไมทั้ง 2 คนจะกลับไปต่างประเทศจึงตรวจพบ ผมจึงรณรงค์ให้ผู้ป่วยที่หายแล้วมาบริจาคพลาสม่า โดยขณะนี้เรามีพลาสม่าประมาณ 300 หน่วย ซึ่งเราสามารถรักษาคนกว่า 100 คนแล้ว จะสามารถเก็บได้ประมาณ 1 ปี โดยมีข้อมูลแล้วว่าพลาสม่ามีประโยชน์ ถ้าให้กับผู้ป่วยในระยะเริ่มแรกสามารถลดอัตราการตายได้ ทั้งนี้เราได้ร่วมมือกับสำนักอนามัย สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร ไปติดตามเพื่อรณรงค์ให้คนบริจาคพลาสม่า เราได้อาสาสมัครทั้งสิ้น 217 คน โดยในกลุ่มคนจำนวนนี้เขาหายแล้วตั้งแต่เริ่มมีอาการ นับตั้ง 35 วันขึ้นไปจนถึง 105 วัน เราป้ายคอทุกคนที่หายแล้ว พบว่าในกลุ่มนี้เราตรวจพบเชื้อในคนที่หายแล้วมาบริจาคพลาสม่า 13 คน หรือ 6.6% เพราะว่าการตรวจนี้คือตรวจเส้นใยดีเอ็นเอ เป็นการตรวจส่วนหนึ่งของตัวไวรัส ไม่ได้ตรวจไวรัสทั้งตัว เราอาจจะตรวจแค่ว่าตรวจมือหรือ แกน ไม่ได้ตรวจทั้งอนุภาคไวรัส และเจอชิ้นส่วน และแน่นอนว่าเป็นไวรัส เราได้พยายามติดตามผู้ที่สัมผัสกับคนกลุ่มนี้ไม่มีใครเป็นเลย และไม่มีใครแพร่กระจายโรค ดังนั้นในเมื่อวันหนึ่งเราป้ายคอมา ป้ายตำแหน่งนี้อาจจะไม่เจอ ไวรัสอาจจะหลบ หรือตกข้างอยู่ในซอกนั้นซอกนี้ ด้วยเหตุนี้เราตรวจไม่เจอแล้วอีกไม่กี่วันป้ายใหม่ก็อาจจะเจอได้ ดังนั้นการเจอใหม่นั้นปริมาณเชื้อจะน้อยมากๆ “ นพ.ยง กล่าว
นพ.ยง กล่าวเพิ่มเติมว่า ปริมาณชิ้นส่วนไวรัสของทั้ง 2 คนนั้นน้อยมาก ในส่วนข้อสังเกตว่าจะสามารถติดต่อได้หรือไม่ จะต้องมีการเพาะเลี้ยงว่าโต หรือแบ่งตัวได้หรือไม่ ในเมื่อเจอชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งเป็นนิ้วแล้วจะให้ไวรัสตัวนี้แบ่งตัวให้เป็นรูปร่างเต็มก็คงยากเพราะเป็นชิ้นส่วนที่น้อยนิด อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจ บางคนบอกว่าเป็นซากไวรัส แล้วบังเอิญเราไปจับเศษซากซึ่งเป็นร่องรอยที่ทำให้เห็นว่าทั้ง 2 คนเคยติดเชื้อไวรัสจริง ตนจึงไม่แปลกใจ แต่แน่นอนเพื่อความปลอดภัยเราต้องมีการสอบสวนว่ามีการไปสัมผัสกับใครบ้าง ซึ่ง ณ วันนี้ที่ตรวจมาก็ยังไม่พบผู้สัมผัสคนใดที่มีผลตรวจเป็นบวก แต่ก็ต้องตามผู้สัมผัสต่อไปเพื่อให้ทุกคนสบายใจ ดังนั้นจึงขอบอกว่าคนไข้ทั้ง 2 คนไม่ถือว่าเป็นการระบาดในระลอกที่ 2 เพราะคำว่าระลอก 2 คือต้องมีการติดต่อกันของเชื้อภายในประเทศให้เห็น อย่างไรก็ตามถ้ามีการระบาดอีกครั้งเราจะต้องควบคุมให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดการกระจาย และต้องไม่มีการสูญเสีย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี