จากโครงการความร่วมมือทางการศึกษาเพื่อสานต่ออาชีพพระราชทาน ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนทุนการศึกษาสาขาวิชาสัตวแพทยศาสตร์และสัตวศาสตร์แก่บุตร-หลานสมาชิกสหกรณ์โคนม และบุตร-หลานของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรที่สมาชิกเลี้ยงโคนม มาในปีนี้ กรม ได้ขยายโอกาสด้านทุนการศึกษาไปยังบุตร-หลานสมาชิกสหกรณ์ภาคการเกษตรที่มีอยู่ราว 3,500 แห่ง ทั่วประเทศ โดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทำข้อตกลง (MOU) เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาระดับปวส. และปริญญาตรี ในสาขาวิชาด้านการเกษตรเพิ่มเติม ระยะเวลาโครงการ 3 ปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 – 2566
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมาว่าการลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ มี 2 โครงการ โครงการแรก คือ “โครงการความร่วมมือทางการศึกษาเพื่อสานต่ออาชีพพระราชทาน” ผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน มีผู้ได้รับทุนการศึกษาในสาขาสัตวแพทยศาสตร์และสัตวศาสตร์รวมจำนวน 9 ราย และในปีนี้ กรม ได้รับการตอบรับเพิ่มจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว โดยมหาวิทยาลัยให้โควตาบุตร-หลานสมาชิกสหกรณ์โคนม และบุตร-หลานของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรที่สมาชิกเลี้ยงโคนม เข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาสัตวศาสตร์ และกรมฯ สนับสนุนทุนการศึกษาจนจบหลักสูตร จำนวน 13 ทุน ระยะเวลาโครงการระหว่างปีการศึกษา 2563-2565 รวมจำนวนทุนการศึกษาทั้งหมด 1.746 ล้านบาท
ส่วนอีกโครงการ คือ “โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับบุตร – หลานของสมาชิกสหกรณ์ภาคการเกษตร” ระยะเวลาโครงการ 3 ปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 – 2566 ประกอบด้วยความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในการให้โควตาเข้าศึกษาต่อ และกรม สนับสนุนทุนการศึกษาระดับปวส. ถึงปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ในสาขาวิชาเกษตรกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น พืชศาสตร์ สัตวศาสตร์ ช่างกลเกษตร ประมง การเดินเรือ การเพาะเลี้ยงและแปรรูปด้านการเกษตรอุตสาหกรรมเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร เทคโนโลยีภูมิทัศน์ ประกอบด้วยทุนการศึกษาระดับปวส. จำนวน 150 ทุน ระดับปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) 2 ปี จำนวน 60 ทุน และความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาต่อสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร ระดับปริญญาตรี 4 ปี จำนวน 30 ทุน
ท่านอธิบดีพิเชษฐ์ บอกว่า โครงการที่กรม ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ให้ทุนแก่บุตร-หลาน สมาชิกสหกรณ์การเกษตรนี้ ก็เพื่อต้องการผลักดันเด็กรุ่นใหม่ให้กลับมาอยู่ในภาคการเกษตร เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ และเป็นกำลังสำคัญที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาขบวนการสหกรณ์ จึงเริ่มจากการสร้างบุตร-หลานของสมาชิกสหกรณ์ก่อน ให้ทุนเรียนต่อเป็นการสร้างโอกาสด้านการศึกษา ให้ได้รับการพัฒนาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะในการนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาปรับใช้ เพื่อจะได้เป็นเกษตรกรหรือผู้ประกอบการด้านการเกษตรมืออาชีพ อีกสักระยะหนึ่งก็นำเขาเข้าสู่ระบบสหกรณ์เป้าหมายสุดท้าย คือ ต้องการเห็นเด็กเหล่านี้กลับมาเป็นผู้บริหารสหกรณ์การเกษตรในอนาคต ทดแทนบุคลากรสหกรณ์การเกษตรที่สูงวัย ซึ่งจะทำให้องค์กรสหกรณ์ขับเคลื่อนต่อไปได้ จึงได้หารือกับผู้บริหารของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตรอยู่ และหารือกับทางเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้เรียนต่อในระดับปวส. และปริญญาตรีต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ กรมได้จัดสรรทุนการศึกษาจากดอกผลเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ไว้ 23 ล้านบาท และถ้าได้ผลดีปีหน้าจะขยายเพิ่มขึ้น และจะเชิญชวนสหกรณ์เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับลูกหลานสมาชิกสหกรณ์ด้วยในปีต่อไป
ผมมองว่า นี่เป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยท่านอธิบดีพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ ได้จัดทำขึ้นเพื่อพี่น้องชาวสหกรณ์ ที่นอกจากจะช่วยสานฝันให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าศึกษาต่อในสาขาที่ชอบและตรงกับความต้องการแล้ว ยังเป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ นำความรู้กลับมาพัฒนาอาชีพของครอบครัวให้มีความทันสมัยและยกระดับอาชีพเกษตรกรให้เกิดความมั่นคง อีกทั้งคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ยังจะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่จะช่วยพัฒนาสหกรณ์ พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจากชุมชน ให้มีความเข้มแข็งยั่งยืนต่อไปในอนาคต
สุธิพงศ์ ถิ่นเขาน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี