การเกษตรเป็นพลวัต มีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขปัญหา รวมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ด้วยว่าวิธีการหนึ่งอาจเหมาะสมถูกต้องกับสถานการณ์ ณ ขณะนั้น เมื่อวันเวลาผ่านไปวิธีการดังกล่าวอาจไม่ใช่อีกต่อไป ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างออกไป รวมถึงบริบทอื่นๆ ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคมก็ตาม
ผมนั่งทบทวนเวลากลับไปกว่า 40 ปีที่ผ่านมาในการทำงานและวนเวียนอยู่กับแนวทางการบริหารการเกษตร จะเห็นความแตกต่างของแต่ละยุคแต่ละสมัย แนวทางในแต่ละยุคนั้น ณ ขณะนั้นถูกมองว่าถูกต้องแล้ว เป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดแต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่เท่าไรวิธีการดังกล่าวที่ว่าถูกต้องเหมาะสมกลับไม่สามารถตอบโจทย์ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
ช่วงปี 2519-2529 เป็นช่วงเวลาที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างเสนอและเห็นถึงความจำเป็นในการมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรประจำตำบล ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าความรู้ วิทยาการของการทำการเกษตรสมัยใหม่ที่อยู่ตามหน่วยงานวิจัยหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ไม่สามารถถ่ายทอดไปยังเกษตรกรได้ จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรระดับตำบลเพื่อเป็นผู้เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดังกล่าว มีการจัดระบบที่ผู้คนในวงการคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือ ระบบ T&V เป็นการนำเอาระบบของอิสราเอลมาใช้ โดยให้มีการฝึกอบรมความรู้วิทยาการใหม่ๆ ให้เกษตรตำบล เพื่อเป็นผู้นำไปถ่ายทอด เผยแพร่ให้กับเกษตรกร ทั้งเกษตรกรโดยทั่วไปและเกษตรกรผู้นำ ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า CoF มีการจัดระบบการเยี่ยมเยือนของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในทุกระดับวนไปถึงระดับตำบล แต่เมื่อผ่านไป 10 ปี มีการประเมินผล พบว่า มีจุดอ่อนในระบบดังกล่าวหลายประการ มีการเพิ่มประเด็นและเนื้อหาเฉพาะเจาะจงเขาไปในระบบ จัดทำหมู่บ้านส่งเสริมการเกษตรเพื่อให้เป็นหมู่บ้านศูนย์กลางนำการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีการเกษตรไปยังหมู่บ้านบริวารหรือเครือข่ายได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายประการจึงมีความพยายามในการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการดำเนินการเฉพาะเจาะจงเป็นกลุ่ม โดยพัฒนาจากกลุ่มพื้นฐานหรือยุคปัจจุบันใช้คำว่าฐานราก เป็นการแบ่งกลุ่มและพัฒนา จากเกษตรกรรายย่อยก่อนด้วยโครงการและมาตรการต่างๆ เป็นจำนวนมาก มีการจัดทำแผนการผลิตของเกษตรกรรายครัวเรือน เพื่อนำไปสู่การทำธุรกิจแบบครบวงจร หวังผลการพัฒนาในลักษณะปรับปรุงการผลิตตั้งแต่โซ่การผลิตโซ่แรกไปจนสิ้นสุดห่วงโซ่อุปทาน จนมีการตั้งกองส่งเสริมธุรกิจเกษตรขึ้นมาในกรมส่งเสริมการเกษตรตามเจตนารมณ์ที่กล่าวมาขณะเดียวกันการดำเนินการพัฒนาในระดับเกษตรกรรายย่อยก็ยังคงอยู่ ในรูปแบบของกลุ่มเกษตรกร กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร รวมถึงกลุ่มยุวเกษตรกร
การที่เกษตรกรยังคงทำการผลิตในรูปแบบเดิม ถูกมองว่าเป็นจุดด้อยของการพัฒนา จึงเกิดโครงการกระจายความเสี่ยงด้านการเกษตร จนถึงการปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตร ร่วมกับการทำงานแบบยึดระบบอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อย้อนหลังไปประเมินผลที่เกิดขึ้น ทั้งด้านความเป็นอยู่ ความสำเร็จต่อการผลิตทั้งระบบ ผลตอบแทนเปรียบเทียบ รวมทั้งความยั่งยืนของระบบการเกษตร พบว่า จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนไปไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งภาวะเศรษฐกิจ การประกอบธุรกิจ ผลตอบแทน หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลต่อการพัฒนาการเกษตร สถาบันเกษตรกรถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่ยิ่งนานวันปัญหาของสถาบันเกษตรกรยิ่งไปสร้างความซับซ้อนของปัญหามากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศที่ต้องดำเนินการในส่วนของประเด็นทางการเกษตร หวังว่าจะเกิดการพัฒนาและส่งผลต่อวิถีของเกษตรกรอย่างมีทิศทาง ไม่ว่าจะวางตำแหน่งอนาคตไว้ว่าต้องเป็นเกษตรอัจฉริยะ การเกษตรสร้างมูลค่าสูง การสร้างเกษตรปราดเปรื่องและอีกหลายประเด็นสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนผ่านการคิดและศึกษาบทเรียนจากอดีตมาอย่างรอบด้าน แต่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงและสำคัญอย่างยิ่ง คือ “คน” ที่เกี่ยวข้อง หากถามว่ามีความพร้อมแล้วหรือไม่ที่จะก้าวไปบนเส้นทางสายใหม่ คงต้องกลับไปคิดและทบทวนกันอีกหลายตลบ
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี