เกาหลีกลับจากไทยติดโควิด
สธ.เร่งหาต้นตอ
ไล่ตรวจประวัติการเดินทาง
พักอยู่ย่านวังทองหลาง
ทหารงัดแผนสกัดต่างด้าว
คุมเข้มชายแดนเมียนมา
นายกฯย้ำต้องเฝ้าจับตา
ไทยพบป่วยโควิดเพิ่ม 1 ราย กลับจากอินเดียพักในที่กักตัวทางเลือก สธ.เร่งสอบสวนโรคกรณีชายชาวเกาหลี วัย 54 ปีกลับจากไทยตรวจพบติดเชื้อ ไล่ไทม์ไลน์เข้าไทย 16 มีนาคม พักย่านวังทองหลาง พร้อมตรวจสอบประวัติเดินทางในกทม.ทั้งสถานทูตเกาหลีในไทย-สตม.เมืองทองธานี-ห้างสรรพสินค้า-ขนส่งสาธารณะ ขณะที่จำนวนกลุ่มเสี่ยงสัมผัสดีเจ974ราย ตรวจแล้ว521คน ผลเป็นลบ รอตรวจซ้ำอีก2ครั้ง กองทัพใช้แผนกำแพง3ชั้นสกัดต่างด้าว โดยเฉพาะเมียนมาลอบเข้าไทย เพิ่มกำลังพล เน้นลาดตะเวนแนวชายแดน นายกฯยันระบบป้องกันโรคของไทยยังทำได้ดี กำชับตำรวจ-ทหารปฎิบัติหน้าที่เข้มแข็ง-ลดวันลาพัก
เมื่อวันที่ 8กันยายน ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.รายงานผลการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อในประเทศรายวัน
พบติดเชื้อเพิ่ม1มาจากอินเดีย
พบว่า ไทยมีผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เป็นชายชาวอินเดีย อายุ 46 ปี เดินทางมาจากอินเดีย เมื่อวันที่ 1 กันยายน ถึงประเทศไทยแล้วเข้าพักในสถานกักกันโรคทางเลือก (Alternative State Quarantine) ใน กทม. เมื่อวันที่ 6 กันยายน ผลตรวจพบเชื้อ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 3,446 ราย แบ่งเป็นติดเชื้อในประเทศ 2,445 ราย และในสถานกักกันโรคของรัฐ(State Quarantine) 508 ราย รักษาหายป่วยแล้ว 3,284 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล(รพ.) 104 ราย เสียชีวิตสะสม 58 ราย ในจำนวนผู้ป่วยสะสม 3,446 ราย เข้ารักษาตัวในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และนนทบุรี 1,862 ราย ภาคเหนือ 95 ราย ภาคกลาง 633 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 112 ราย ภาคใต้ 744 ราย
หาต้นตอเกาหลีกลับไทยติดโควิด
ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)แถลงถึงกรณีมีรายงานข่าวระบุพบชายชาวเกาหลีใต้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังเดินทางกลับจากไทย เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมาว่า กรมควบคุมโรคประสานไปยังจุดประสานงานกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR national focal point) ของประเทศเกาหลีใต้ทันที เพื่อสอบสวนโรค และตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคลรายดังกล่าวแล้ว เบื้องต้น พบว่าผู้เดินทางจากไทยไปเกาหลีใต้ตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 ดังกล่าว เป็นเพศชาย สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 54 ปี เดินทางจากไทยไปที่เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา โดยสายการบินโคเรียนแอร์ และเวลา 07.00-11.00 น. จากสนามบินนานาชาติอินชอนนั่งรถบัสไปศูนย์สุขภาพซงทัน ที่สำหรับตรวจผู้เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ มีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่ศูนย์สุขภาพซงทัน ด้วยวิธี RT-PCR จากนั้นขึ้นรถพยาบาลไปที่บ้านเพื่อแยกกักตัว และวันที่ 5 กันยายนทราบผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นบวก ทำให้บุคคลดังกล่าวถูกย้ายตัวไปที่ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่อันซ็อง (Anseong Living Treatment Center)
เช็คประวัติเดินทาง-อยู่วังทองหลาง
สำหรับประวัติชายสัญชาติเกาหลีใต้คนดังกล่าวขณะอยู่ในประเทศไทยนั้น นพ.สุวรรณชัยเผยว่า จากการสอบสวนโรคพบ เดินทางเข้าไทยเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา และพักอาศัยอยู่ในเขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ส่วนรายละเอียดอื่น อยู่ระหว่างตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประวัติเดินทาง เช่น สถานทูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(เมืองทองธานี) สถานที่ (ห้างสรรพสินค้า) และการใช้ระบบขนส่ง ทั้งนี้ ทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรคของกรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งสอบสวนโรคและตรวจสอบรายละเอียดโดยเร็ว หากคืบหน้าจะแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป
ผู้สัมผัสที่บ้าน-คอนโด-ศาลไม่พบเชื้อ
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศบค.เปิดเผยความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสผู้ต้องขังติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ข้อมูลล่าสุดของกรมควบคุมโรค วันที่ 8 กันยายน พบมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ รวม 974 ราย ซึ่งแบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 118 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 856 ราย โดยจำนวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ประกอบด้วย 1.บุคคลในครอบครัว 6 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด ผลตรวจห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ 2.ผู้พักอาศัยในคอนโดบ้านสวนธน 143 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำทั้งหมด ซึ่งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ 3.ที่ศาลอาญา มีผู้สัมผัส 492 คน ซึ่งแบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 14 คน ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 478 คน โดยผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำที่ได้รับการตรวจแล้ว 146 ราย ผลปรากฏว่าไม่พบเชื้อ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงนั้น มี 14 ราย ผลตรวจออกมาแล้วว่าไม่พบเชื้อ
รพ.ราชทัณฑ์-สถานบำบัดรอตรวจซ้ำ
4.ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มี 6ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำทั้งหมด และเฝ้าระวังอาการ 14 วัน 5.ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง มีผู้ต้องขัง 35ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด มี 4 รายมีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค แต่จากการตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 34 ราย ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ผลระบุไม่พบเชื้อ แต่ยังถูกแยกกักกันจากผู้ต้องขังรายอื่น โดยจะครบกักกันหรือเฝ้าระวังวันที่ 16 กันยายน ทั้งนี้ นัดตรวจหาเชื้ออีก 2 ครั้งคือวันที่ 8 และ 16 กันยายน สำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเรือนจำ 76 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 24 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 52 ราย โดยกรณีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงนัดเก็บตัวอย่าง 2 ครั้ง ซึ่งครั้งที่ 1 วันที่ 8 กันยายนและครั้งที่ 2 วันที่ 16 กันยายน โดยจะครบกักกันหรือเฝ้าระวังวันที่ 16 กันยายน
521ไม่พบเชื้อ-รอเคสเรือนจำ-ห้าง
6.ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้ต้องขังรถคันเดียวกัน 8 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด มี 1 รายที่มีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค อย่างไรก็ตาม จากการตรวจหาเชื้อวันที่ 3 กันยายน ผลระบุไม่พบเชื้อ และนัดหมายเก็บตัวอย่างครั้งที่ 2 วันที่ 8 กันยายน แต่ยังให้ถูกแยกกักกันจากผู้ต้องขังรายอื่น ซึ่งจะครบการกักกันวันที่ 9 กันยายน 7.ร้านอาหาร “สามวันสองคืน” สาขาถนนพระราม 3 มีผู้สัมผัส 18 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 14 ราย ซึ่งทั้งหมดผลตรวจไม่พบเชื้อ แต่กรณีของผู้สัมผสเสี่ยงสูงนั้นมี 1 รายที่มีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค เมื่อวันที่ 4-5 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ล่าสุดไม่พบเชื้อ
8.ร้านอาหาร“สามวันสองคืน”สาขาถนนพระราม 5 มีผู้สัมผัสรวม 60 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 25 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 35 ราย โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมดมีผลตรวจระบุไม่พบเชื้อ 9.ร้านเฟิร์ส คาเฟ่ต์ ถนนข้าวสาร มีผู้สัมผัส 15 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 2 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 13 ราย โดยกรณีของผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้ง 2 ราย มีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค แต่ผลตรวจไม่พบเชื้อ ขณะที่ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 13 ราย ทั้งหมดไม่พบเชื้อ 10.ถนนข้าวสาร มีผู้สัมผัส 112ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำทั้งหมด ผลตรวจระบุไม่พบเชื้อ 11.โรงเรียนสารสาสน์วิเทศศึกษา 3ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำทั้งหมด และครบการกักกันหรือเฝ้าระวังแล้ว เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 12.ห้างบิ๊กซี สุขสวัสดิ์ อยู่ระหว่างการลงพื้นที่ค้นหาผู้สัมผัส
“รวมมีจำนวนผู้สัมผัสในกรณีของผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด-19 ราย รวม 974 ราย โดยมีผู้รับการตรวจแล้ว 521 ราย ซึ่งผลไม่พบเชื้อ อย่างไรก็ตามยังรอติดตามผลตรวจกรณีในเรือนจำและห้างสรรสินค้า”รายงาน ศบค.ระบุ
นายกฯย้ำระบบป้องกันทำได้ดี
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงการเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโควิด-19 พื้นที่ชายแดน หลังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมาสถานการณ์ระบาดหนักว่า ถึงแม้จะตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เราก็ติดตามได้ทั้งหมดในขณะนี้ ตรวจสอบยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ขอให้ทุกคนอย่าตื่นตระหนก ถือเป็นการทดสอบระบบป้องกันที่ยังทำได้ดี ส่วนการป้องกันการระบาดตามแนวชายแดนได้กำชับเจ้าหน้าที่ตลอด ที่ผ่านมาเพิ่มกำลังตำรวจ ทหาร ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้พัก ลดอัตราลาพักตามวงรอบของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้อยู่ปฎิบัติงานตามแนวชายแดน จึงขอให้ทุกคนให้กำลังใจเจ้าหน้าที่
เสี่ยหนูเตือนอย่าช่วยหนีเข้าเมือง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีสังคมเป็นห่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2 ในประเทศว่า ขณะนี้ประเทศไทย คนไทยเข้าใจเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19 มากขึ้น โดยเฉพาะการป้องกันหากทุกคนใส่หน้ากากอนามัย จะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคได้ถึงร้อยละ 90 จากข้อมูลทางการแพทย์ยังพบว่า ช่วยป้องกันการระบาดของโรคติดต่อทางลมหายใจได้ มีผู้ป่วยน้อยลง ดังนั้น หากเราการ์ดไม่ตก ไม่ต้องกังวลเพราะระบบสาธารณสุขไทยมีคุณภาพระดับโลก มีทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ช่วยเฝ้าระวังติดตาม ขณะที่ฝ่ายความมั่นคง ตรวจเข้มตามแนวชายแดนอยู่แล้ว
“ขอฝากประชาชนอย่าให้ความช่วยเหลือ หรืออำนวยความสะดวกคนหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะนอกจากทำร้ายประเทศแล้ว ยังมีคดีอาญา อย่าเห็นแก่ค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย”นายอนุทินกล่าว และว่า แม้ขณะนี้มีการติดเชื้อในสถานที่กักกัน ในสถานที่ท่องเที่ยวผับ บาร์ สถานบันเทิง ก็ไม่จำเป็นต้องล็อคดาวน์ กิจการ เราต้องต่อสู้และไปต่อ เพียงแต่อาจต้องตรวจสอบเข้มงวดขึ้น ไม่ให้การ์ตก และต้องสวมหน้ากากอนามัยออกจากบ้านทุกครั้ง
รพ.ชายแดนยืนยันความพร้อม100%
นายอนุทินยังยืนยันความพร้อมของโรงพยาบาลตามแนวชายแดน ที่อาจมีแรงงานต่างด้าวข้ามมาประเทศไทย โดยเฉพาะจากประเทศเมียนมาที่มีการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ระดับวิกฤติว่า เราเสริมกำลัง เตรียมความพร้อมมานานแล้วทั้งอุปกรณ์เวชภัณฑ์ โรงพยาบาลตามแนวชายแดนเหล่านี้ยืนยันว่าพร้อม 100% ผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลขณะนี้ 105 คน เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น ไม่ใช่ที่ค้างในประเทศจากการระบาดก่อนหน้านี้ เพราะคนเหล่านั้นกลับบ้านหมดแล้ว
ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนนั้น นายอนุทินเผยว่า ยังมีการพัฒนาอยู่กับหลายสถาบัน นายกฯนำงบกลางมาให้ 1 พันล้าน เราก็นำไปพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด 600 ล้านบาทและให้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 400 ล้าน ในส่วนของงบเงินกู้ที่สำรองไว้ประมาณ 3 พันกว่าล้านบาทก็ยังอยู่เต็ม ซึ่งเรามีช่องที่จะพัฒนาต่อไป ตอนนี้กำลังพิจารณาเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ (Covax) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้กำกับขององค์การอนามัยโลก ( WHO ) ถ้าสามารถเข้าโครงการนี้ได้ เท่ากับเราเข้าไปร่วมพัฒนากับเขา ใช้เครดิตเงินทุนที่ลงไปร่วมพัฒนากลับมาเป็นวัคซีน เมื่อเขาค้นพบเรียบร้อยแล้ว เรามีโอกาสเข้าถึงได้มากขึ้น
กองทัพห่วงต่างด้าวจ้องหนีเข้าไทย
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ณฐพล ศรีสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะผอ.ศบค.ทบ.กล่าวถึงการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามแนวชายแดน ตามนโยบายรัฐบาลให้สกัด แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศว่า มีความพยายามลักลอบข้ามพรมแดนเข้ามา แต่กองกำลังป้องกันชายแดน ได้ปรับกำลังและเตรียมมาตรการลาดตระเวนให้เข้มข้นมากขึ้น และประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ตื่นตัว คิดว่าระยะต่อจากนี้ต้องดำเนินการมาตรการเข้มข้น เป็นเวลาอีกยาวนาน อีกทั้ง ปัจจุบัน ศบค.ทบ. มีระบบสื่อสารโดยตรงกับโรงพยาบาลในส่วนที่เป็นของทหารในพื้นที่จะเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำ สนับสนุนกิจการให้กองทัพภาค โดยเฉพาะกองกําลังป้องกันชายแดน ซึ่งปัจจุบันเจ้าหน้าที่ของกองกำลังป้องกันชายแดนได้ผ่านการฝึก และเรียนรู้มาตรการป้องกันตนเองอย่างดีแล้ว และรู้ว่าหากเป้าหมายเกิดขึ้นต้องทำหน้าที่อะไร
งัดแผนกำแพง3ชั้นสกัดระบาดรอบ2
“ยอมรับว่ายังมีความวิตก ในกรณีที่มาตรการป้องกันแนวชายแดน แม้จะสามารถทำได้ระดับหนึ่ง แต่ความพยายามที่จะเล็ดลอดเข้ามา เทียบเคียงได้กับยาเสพติด ที่ทำกันมาเป็นสิบปี แต่ก็เล็ดรอดเข้ามาได้ สิ่งสำคัญคือ การป้องกันและตระหนักรู้ของคนไทยเอง โดยเฉพาะนายจ้างหรือประชาชนพื้นที่ภายในต้องช่วยกันสานพลังตรงนี้ว่าจะไม่พยายาม ให้แรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านการคัดกรองโรค เข้ามาถึงพื้นที่ภายในได้ ส่วนคนที่มีหน้าที่ป้องกันก็ทำหน้าที่ป้องกันไป ส่วนประเทศต้นทางต้องสานความร่วมมือช่วยดูแล เป็น กำแพงสามชั้นจะเป็นสิ่งที่มั่นคงที่สุด ทั้งประเทศต้นทาง แนวชายแดนและคนในประเทศต้องตระหนักรู้และรับผิดชอบ” พล.อ.ณฐพล กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม การพูดคุยกับผู้ประกอบการที่มีแรงงานเป็นคนต่างด้าวนั้น ทุกกระทรวง ทบวง กรม ดำเนินการอยู่ เพื่อปลูกจิตสำนึกให้เข้มแข็ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี