เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 11 กันยายน 2563 พ.ต.ท.อำพล นุชนงค์ สว. (สอบสวน) สภ.ท่าแซะ ได้รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงตายภายในโรงงานสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด หมู่ที่ 5 ต.คุริง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ธงชัย นุ้ยเจริญ ผกก.สภ.เมืองชุมพร พ.ต.อ.ธานี นาคหกวิค ผกก.สส.ภ.จว.ชุมพร ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน แพทย์เวรโรงพยาบาลท่าแซะ และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์
ที่เกิดเหตุเป็นโรงงานสหกรณ์ขนาดใหญ่สกัดน้ำมันปาล์มและผลิตไบโอแก๊ส ตรวจสอบพบว่า บริเวณที่พักจุดควบคุมระบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย ที่อยู่ด้านหลังโรงงาน พบศพ นายสราวุธ หรือน้อง สังข์นิมิตร อายุ 40 ปี พนักงานตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมฝ่ายบ่อบำบัดน้ำเสีย สภาพศพนอนหงายหน้า เลือดแห้ง มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบชนิด จำนวน 2 นัด ที่ไหล่ขวาทะลุออกชายโครงซ้าย และกลางหลังทะลุชายโครงซ้าย ที่นิ้วนางขวาสวมแหวนทองคำหนัก 1 บาท เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ที่เกิดเหตุไม่พบปลอกกระสุนแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบริเวณพงหญ้าข้างถังน้ำพลาสติก และถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ใกล้กับจุดที่พักควบคุมระบบอิเล็กทรอนิกส์ ห่างจากจุดพบศพประมาณ 3 เมตร มีรอยเหยียบย่ำ คาดว่าเป็นจุดที่คนร้ายมายืนซุ่มรอเป้าหมาย เจ้าหน้าที่จึงกันพื้นที่ไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนเพื่อนร่วมงาน ทราบว่า นายสราวุธ ผู้ตาย ได้มาลงชื่อเข้าเวรทำงานช่วงเวลา 20.00 น.ของวันที่ 10 ก.ย.63 และจะออกงานช่วงเวลา 04.00 น.ของวันที่ 11 ก.ย.63 และช่วงเวลาประมาณ 02.00 น.คืนเดียวกันยามในโรงงานยังเห็นผู้ตายมาเอารถจักรยานปั่นขึ้นไปตรวจสอบบ่อบำบัดน้ำเสียที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งมีอยู่จำนวน 4 บ่อ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำ และโยนก้อน EM ปรับสภาพน้ำ และดูแลแผงควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย โดยจะต้องปั่นรถจักรยานไปตรวจสอบเป็นระยะๆ ตามช่วงเวลาที่กำหนด
เพื่อนร่วมงาน กล่าวต่อว่า หลังจากที่ตนมาทำงานตอนเช้า พบว่านายสราวุธ ผู้ตาย ยังไม่มาลงชื่อออกเวร ตนจึงโทรศัพท์ไปหาหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับสาย จนกระทั่งตอนสายตนจึงปั่นระจักรยานไปตรวจสอบที่บ่อบำบัดน้ำเสีย พบนายสราวุธ นอนหมดสติอยู่ เมื่อตะโกนเรียกก็ไม่รู้สึกตัว ตนเข้าใจว่าเป็นลม จึงรีบปั่นรถจักรยานกลับลงมาแล้วตามเพื่อนร่วมงานให้ขับรถยนต์ขึ้นรับตัวนำส่งโรงพยาบาล แต่เมื่อเข้าไปจะยกตัว พบว่า นายสราวุธนอนตายตัวแข็ง และมีเลือดแห้งไปทั่ว จึงได้แจ้งตำรวจมาที่เกิดเหตุดังกล่าว
ขณะที่ ภรรยาของนายสราวุธ ผู้ตาย กล่าวว่า นายสราวุธสามีตนก่อนมาทำงานได้ใส่สร้อยข้อมือ หนัก 4 บาท 1 เส้น และนำเงินสดติดตัวมาด้วย 4 หมื่นบาท หลังถูกยิงตาย ทรัพย์สินดังกล่าวได้หายไป เหลือเพียงแหวนทองคำ 1 บาท สวมคาอยู่ที่นิ้วนางข้างขาว 1 วง เนื่องจากสามีตนนอกจากทำงานที่โรงงานแห่งนี้แล้วยังมีอาชีพปล่อยเงินกู้ให้กับพนักงานในโรงงาน และชาวบ้านทั่วไป รายละ 1000 , 10,000 , 100,000 บาท โดยมีลูกหนี้เงินกู้อยู่หลายราย
ภรรยาของนายสราวุธ ผู้ตาย กล่าวต่อว่า ก่อนสามีถูกยิงตายได้พูดให้ฟังว่ามีปัญหากับลูกหนี้อยู่ 2 - 3 ราย ที่กู้เงินไปแล้วไม่ค่อยใช้คืน โดยล่าสุดมีลูกหนี้คนหนึ่งยังไม่จ่ายหนี้เก่าที่กู้ไปแล้วนับแสนบาท จะมาขอกู้เพิ่มอีก แต่สามีตนไม่ยอมให้ และได้ถูกข่มขู่บังคับสามีว่าจะต้องกู้เงินก้อนใหม่ให้ได้ แล้วเกิดมีปากเสียงกัน จนกระทั่งมาทราบว่าสามีถูกยิงตายดังกล่าว
สำหรับสาเหตุเบื้องต้น ตำรวจสันนิษฐานว่า คาดว่าจะมีปมเหตุมาจากเรื่องหนี้เงินกู้ ฆ่าล้างหนี้ เนื่องจากผู้ตายมีฐานะดี ปล่อยเงินกู้มานาน มีลูกหนี้อยู่จำนวนมาก ส่วนทรัพย์สินที่คนร้ายนำติดตัวไป คาดว่าเพื่ออำพรางเบี่ยงเบนคดี และสาเหตุจากความขัดแย้งส่วนตัว และไม่ตัดประเด็นความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ส่วนคนร้ายคาดว่าจะรู้เส้นทางและความเคลื่อนไหวภายในโรงงานเป็นอย่างดี โดยย่องเข้ามาทางป่าละเมาะด้านหลังโรงงาน บริเวณบ่อบำบัดน้ำเสีย ที่ติดกับที่ดินของชาวบ้าน ซึ่งไม่มี รปภ.ดูแล เพื่อมาซุ่มรอจังหวะที่นายสราวุธ จะมาตรวจเวรที่บ่อบำบัดน้ำเสียตอนกลางดึก แล้วลงมือยิงด้วยอาวุธปืนลูกโม่แบบไม่สลัดปลอกกระสุน ก่อนจะหลบหนีไป ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี