เป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่ก็ไม่ใช่คนใหม่เสียทีเดียวกับ “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ซึ่งขยับจากโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มานั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน (ดูแลกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลไทยต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีงานทำของประชาชน เช่น ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruptive Technology) ที่
ผู้ประกอบการหันมาใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนมากขึ้น
“จริงๆ ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพราะเราอยู่กระทรวงแรงงานมาตั้งแต่ปี 2558 มาช่วย พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น จนท่านลาออกประมาณปี 2560 เราก็ช่วยอยู่ในทีมที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาบุคลากร ตอนนั้นที่นำเสนอท่านก็ออกมาเป็นแผนยุทธศาสตร์กระทรวงแรงงาน พวกอัพสกิล-รีสกิล (Upskill-Reskill) อะไรแบบนี้ แล้วก็ช่วยเรื่องประกันสังคม
พอท่าน (พล.อ.ศิริชัย) ลาออก เราก็ข้ามไปช่วยท่านอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น) ที่กระทรวงการคลัง แล้วก็กลับมาอีกทีหนึ่ง ก็อยู่ในแวดวงที่เราคุ้นเคย แต่ละคนแต่ละหน่วยเราก็เคยสัมผัสมา ความคาดหวังคือต้องการช่วยเหลือคนให้มากที่สุด เพราะวิกฤติทุกครั้งตั้งแต่ต้มยำกุ้ง (ปี 2540) ก็ดีจนมาถึงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่อเมริกา(ปี 2551) แล้วก็มาวิกฤติโควิดครั้งนี้ พอเกิดวิกฤติมันก็จะกระทบแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ที่ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน”
นฤมล ตอบคำถามแรกของกองบก. “แนวหน้า” เกี่ยวกับการมาดำรงตำแหน่งที่กระทรวงแรงงาน ซึ่งในความเข้าใจของคนทั่วไปภายนอกอาจมองว่าเป็นงานที่ไม่คุ้นเคยเมื่อดูจากภูมิหลังที่สำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์การเงินอีกทั้งยังเป็นอาจารย์สอนวิชาดังกล่าวมานาน โดยเมื่อมารับตำแหน่ง รมช.แรงงาน ในครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญคือ “ต้องการยกระดับกระทรวงแรงงานให้เป็นหนึ่งในกระทรวงเศรษฐกิจ” และกรมพัฒนาฝีมือแรงงานก็เป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อน
โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ 1.สร้างแรงงานคุณภาพ เป็นการมองในระยะยาวเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี รวมถึงอุตสาหกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) 2.ยกระดับฝีมือแรงงาน แม้จะเป็นภารกิจปกติของกรมอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้ต้องทำให้สังคมเห็นผลงานมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มความร่วมมือกับภาคเอกชน และ 3.ให้โอกาสกับแรงงานกลุ่มเปราะบาง เป็นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ที่ต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะกลับเข้าสู่การจ้างงานในระบบได้
แต่การเป็นแรงงานนอกระบบเท่ากับว่าแทบไม่มีสวัสดิการใดๆ ดูแล เว้นแต่จะยังคงส่งเงินสมทบตามมาตรา 39 ของกฎหมายประกันสังคม นอกจากนี้ หลายคนที่เป็นแรงงานในระบบอยู่เป็นมนุษย์เงินเดือนมานาน เคยชินกับการทำงานแบบรับคำสั่งและทำเฉพาะตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การเปลี่ยนอาชีพหรือไปทำธุรกิจเอง ย่อมหมายถึงการต้องมีทักษะที่สอดคล้องกับงานใหม่นั้นด้วย
“อันที่มีคนมาอบรมเยอะๆ ในช่วงที่ผ่านมาเป็นหลักสูตรทำอาหาร ค้าขายออนไลน์ มีแม้กระทั่งคนงานไทยที่ตกงานจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ต้องกลับมาเมืองไทยแล้วไม่รู้จะทำอะไร เห็นที่นี่ (กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) มีเปิดสอนก็มาเรียน เตรียมจะไปเปิดร้าน ทีนี้ที่เราต้องต่อยอดให้เขาคือแหล่งเงินทุนด้วย ไม่ใช่แค่ทักษะ ตรงนี้ก็คุยกับทั้งธนาคารออมสิน ทั้ง บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) เขามีวงเงินในการทำโครงการอยู่แล้วก็อยากได้คนที่ผ่านการฝึกทักษะ เมื่อปล่อยสินเชื่อเขาจะได้สบายใจว่าไปทำอาชีพสร้างรายได้ได้แน่ๆ ไม่ใช่ปล่อยแล้วเอาเงินนี้ไปเปิดกิจการหรือไปค้าขายแล้วจะรอดไหม” รมช.แรงงาน ระบุ
คำถามต่อมา “มักมีการแชร์ข้อมูลกันอยู่เป็นระยะๆ ว่าอาชีพนั้นอาชีพนี้เสี่ยงตกงาน..แล้วอาชีพไหนที่ยังพอไปต่อได้บ้าง” ซึ่ง นฤมล ให้ความเห็นว่า “กลุ่มที่น่าจะยังอยู่รอดคืออาชีพที่ต้องใช้ฝีมือมากๆ และเครื่องจักรยังไม่สามารถแทนที่ได้ง่ายๆ” เช่น งานช่างแขนงต่างๆ ยังมีความต้องการสูงในตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตาม “การทำงานไม่อาจเป็นแบบต่างคนต่างทำ แต่ต้องบูรณาการร่วมกัน” ทั้งในกระทรวงเดียวกัน อาทิ เมื่อกรมพัฒนาฝีมือแรงงานฝึกอบรมทักษะแล้ว เป้าหมายต่อไปคือผู้ผ่านการอบรมต้องมีงานทำ ซึ่งเป็นภารกิจของกรมการจัดหางาน
เมื่อมีงานทำแล้วต้องเข้าถึงการคุ้มครองตามหลักสิทธิแรงงาน เป็นภารกิจของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมถึงสำนักงานประกันสังคม และระหว่างกระทรวง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมซึ่งทั้ง 2 กระทรวงรับผิดชอบการจัดการศึกษาในระดับต่างๆ ทั้งสายสามัญ สายอาชีพ การศึกษานอกโรงเรียน(กศน.) รวมถึงมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ก็เป็นอีกหน่วยงานที่เล็งเห็นว่าสามารถช่วยประคับประคองให้คนตกงานกลับไปอยู่บ้านเริ่มต้นอาชีพใหม่ได้
“สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนคือการให้โอกาสกลุ่มแรงงานเปราะบางที่เป็นแรงงานตกงานจากโควิด แรงงานผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการ พวกนี้จะเป็นภารกิจที่เราจะลงไปจริงจังมากขึ้นกับตรงนี้ ซึ่งต้องมีการจัดเวทีว่าเขาต้องการอะไร หรือที่เรามีอยู่แล้ว เช่น เพิ่งคุยกับท่านจุติ (จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์-พม.) ว่าอาจจะไปร่วมกับกระทรวง พม. ทำร่วมกันเพื่อพัฒนาให้กับผู้พิการ สตรี ทั้งหลายเหล่านี้” นฤมล กล่าว
อนึ่ง แม้ภาคเกษตรจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ-ท่องเที่ยว แต่ในระยะยาวอย่างไรก็ต้องยกระดับภาคเกษตรให้มีคุณภาพสูงขึ้น ผ่านแนวคิด “BCG” ประกอบด้วย“Bio Economy (เศรษฐกิจชีวภาพ)-Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน)-Green Economy (เศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม)” ที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร รวมถึงการสร้าง “เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farmer)” ลดต้นทุนเพิ่มรายได้ เพื่อให้เกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจน
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยนั้นเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ระบุว่า ในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หรือมีประชากรอายุ60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้จัดหลักสูตรพัฒนาศักยภาพสำหรับผู้สูงวัยขึ้นไปโดยเฉพาะ รวมถึงแรงงานวัยปลาย (อายุ 40-59 ปี) ที่กำลังจะกลายเป็นผู้สูงอายุ แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด ทำให้จัดอบรมได้ไม่มากนัก จึงต้องแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชนด้วย
“ยังต้องมีกลไกอื่นๆ เช่น Incentive (จูงใจ) ในการให้นายจ้างจ้างผู้สูงอายุทำงานต่อ อันนี้เป็นแรงงานในระบบ เขาจะได้ไม่หลุดไปนอกระบบ แต่พอเขาหลุดออกไปแล้วเขาจะไปทำอาชีพอิสระ ฝั่งเราเติมทักษะให้ แต่อย่างที่บอกคืออบรมด้วยจำนวนจำกัด ก็อาจต้องไปร่วมกับหน่วยงานอย่างเช่นกองทุนหมู่บ้าน ที่เราจะลงไปอบรมในชุมชน” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี