เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย การประชุมขับเคลื่อนสื่อสารประชาสัมพันธ์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ณ รร.เดอะคาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่ง นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการ สคอ. อ้างถึงรายงานจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ที่ระว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 ก.ย. 2563 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทยแล้ว 10,278 ศพ และบาดเจ็บอีก 660,618 คน
“ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนของไทยยังสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงต้องช่วยกันแก้ไขและร่วมเป็นเจ้าของปัญหา โดยเฉพาะบทบาทสื่อมวลชนที่มีพลังในการสื่อสาร เป็นกลไกสำคัญที่จะส่งต่อข้อมูลไปยังผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้หากยังนิ่งเฉยหรือไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่เคารพกฎหมาย การบาดเจ็บเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนก็จะยังสูงเช่นเดิม” นายพรหมมินทร์ กล่าว
ขณะที่ นายพรพจน์ บัณฑิตยานุรักษ์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ตามแนวนโยบายของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ที่จะนำกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแนวทางการลดอุบัติเหตุทางถนนตามปฏิญญาสตอกโฮล์ม เพื่อมาขับเคลื่อนดำเนินการ มีเป้าหมายลดอัตราการบาดเจ็บและการเสียชีวิตทางถนนลงร้อยละ 50 ภายในปี 2564-2573 จึงถือเป็นความท้าทายที่จะต้องร่วมกันทำให้บรรลุเป้าหมาย
“การที่จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ ต้องให้ความสำคัญ คือ 1.วิศวกรรมทางถนน หากไม่เหมาะสม จุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งถือว่าบกพร่องต้องดำเนินการให้ 2.คน ต้องพร้อมในการขับขี่ 3.รถพร้อม ตรวจเช็คสภาพก่อนขับ 4.การเข้าถึงการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทั้งนี้สื่อเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ช่วยสอดส่องดูแล กระตุ้นไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุ ทุกคนคือพลังที่ช่วยขับเคลื่อนได้” รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา กล่าว
อีกด้านหนึ่ง นายวิชัย ไวยทิ นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบล (ทต.) ตลาดเกรียบ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ตัวอย่างที่มีความพยายามขับเคลื่อนงานลดอุบัติเหตุทางถนน กล่าวว่า การทำงานลดอุบัติเหตุทางถนนจะปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยในการเดินทางและใช้ยานพาหนะ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัย และเกิดความยั่งยืนจนกลายเป็นวัฒนธรรมชุมชน
โดย นางมนัสวี บุญมี ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลตลาดเกรียบ อธิบายเพิ่มเติมว่า แนวคิดชุมชนปลอดภัยมาจากชาวตำบลตลาดเกรียบที่นำเสนอผู้บริหารเมื่อปี 2546 ว่าควรทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯสามารถดึงดูดให้เด็กจากตำบลอื่นมาศึกษาต่อ ประกอบกับศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำโครงการเด็กไทยปลอดภัยขึ้น และออกค้นหาสถานศึกษาเพื่อดำเนินการเรื่องศูนย์พัฒนาเด็กเล็กปลอดภัย และชุมชนตำบลตลาดเกรียบได้ถูกคัดเลือก
ซึ่งแต่เดิมพบว่าชุมชนเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนบ่อยครั้ง นักเรียนเองก็ไม่มีความรู้และไม่มีนิสัยรักความปลอดภัย ส่วนคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุก็ไม่ดี จึงได้เริ่มปรับปรุงโดยอาศัยความร่วมมือจากชุมชนผ่านการเปิดรับฟังความคิดเห็น เช่น การสวมหมวกกันน็อกของเด็กศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในอดีตผู้ปกครองไม่ให้ความสำคัญ แต่เมื่อเริ่มสร้างความตระหนัก ก็ทำให้ผู้ปกครองและบุตรหลานคุ้นชินกับการใส่หมวกกันน็อกเมื่อใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะ
“มีการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์แบบคึกคะนอง เร็ว แว้น มีการอบรมให้ความรู้ ประสานโรงเรียนให้เข้มงวด ขณะเดียวกันประสานทางหลวงชนบทขีดสีตีเส้นการจราจร ชะลอความเร็ว ทำลูกระนาด ทางข้ามม้าลาย และติดตั้งป้ายจราจรเตือนการขับขี่ ส่งผลให้ปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนนลดลงอย่างมาก สถิติ 1 ปีที่ผ่านมาไม่พบการเกิดอุบัติเหตุที่เป็นคดีเลย” นางมนัสวี ระบุ
ผอ.กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ทต.ตลาดเกรียบ ยังกล่าวอีกว่า จากความร่วมมือดังกล่าว ส่งผลให้ ทต.ตลาดเกรียบ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับการรับรองจากศูนย์รับรองมาตรฐานชุมชนปลอดภัยในระดับสากล (ISCCC) ให้เป็นชุมชนปลอดภัยระดับโลก เมื่อปี 2554 เป็นลำดับที่ 229 ของประชาคมโลก และเป็นลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ที่มีการป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีรูปธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี