เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น.วันที่ 21 กันยายน 2563 นายสมณ์ พรหมรส กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวในพิธีปิดงานประกาศผลการประกวดนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน ระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ในโครงการเยาวชนคนรุ่นใหม่ใส่ใจและยืนเคียงข้างสิทธิมนุษยชน (Youth Standing Up for Human Rights) ณ รร.เซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ว่า ตนได้รับมอบหมายจากคณะ กสม.ให้มาทำหน้าที่กล่าวปิดงาน ซึ่งตนยอมรับว่ามีความรู้สึกหลายอย่าง อาทิ
1.ชื่อโครงการ เพราะสำนักงาน กสม.เริ่มโครงการตั้งแต่ต้นปี 2563 และโครงการมีคำว่า เยาวชนคนรุ่นใหม่ Stand Up for Human Rights ประกอบการสถานการณ์ในบ้านเมืองจะพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพค่อนข้างมาก ทำให้อาจมีคนตั้งคำถามว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการทำโครงการนี้ของ กสม.หรือไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เกี่ยวข้องกัน
ซึ่ง กสม.ชุดปัจจุบันเริ่มทำงานตั้งแต่เดือน พ.ย.2562 และเริ่มโครงการนี้ในเดือน ม.ค.2563 โดยพูดคุยกันว่าการจัดโครงการมีวัตถุประสงค์ให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนอย่างถูกต้อง รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง มีผู้แนะนำ และทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมีพิธีการจัดประกวดแข่งขันและให้เงินรางวัล นี่คือกลวิธีสร้างการมีส่วนร่วม ทั้งนี้ ดังตัวอย่างของนักเรียนและครูที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ที่มาบอกเล่าเรื่องราวในงาน ทำให้เห็นว่าสมมติฐานที่ทางคณะกรรมการตั้งไว้ถูกต้อง
"เด็กรุ่นใหม่ยังเข้าใจสิทธิมนุษยชนไม่ถูกต้อง เขาเรียนรู้สิทธิมนุษยชนคือสิทธิของฉัน สิทธิมนุษยชนคือกติการะหว่างประเทศที่คนต้องตามหลักการนั้น คนที่สอนเขาคือ NGO (องค์กรพัฒนาเอกชน) ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ผมไม่ได้โจมตี NGO นะ ผมกำลังบอกว่า เคยคุยกับคณะกรรมการหลายครั้งแล้ว อันที่ถูกต้องคือวิธีการเผยแพร่ความรู้สิทธิมนุษยชน ผมก็ไม่ได้ว่า กสม.ที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ว่ากระทรวงยุติธรรม ผมอยู่กระทรวงยุติธรรมมาก่อน ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ผมบอกเสมอว่าวิธีการเผยแพร่ให้ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนของเราไม่ถูกต้อง" นายสมณ์ ระบุ
นายสมณ์ กล่าวต่อไปว่า การนำเอกสารไปแจก การจ้างคนทำคลิปวีดีโอ เป็นวิธีการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้ผู้ที่ขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นองค์กรระหว่างประเทศ หรือ NGO ที่ทำงานให้องค์กรระหว่างประเทศ แต่ควรเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ ซึ่งคนเป็นครูเองก็ต้องเข้าใจสิทธิมนุษยชนด้วยเช่นกัน
2.การพิจารณาตัดสินผลการประกวด ซึ่งคณะกรรมการตั้งไว้ 4 เรื่อง ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้นถูกต้องเพียงใด วิธีการเผยแพร่ทำอย่างไร เผยแพร่แล้วมีเครือข่ายมากเพียงใด และประเภทผลงาน เช่น ภาพยนตร์สั้น การฟ้อนรำ เพลง ฯลฯ คือสิ่งที่ตามมา ดังนั้นหากปีถัดไป สำนักงาน กสม.จะจัดประกวดแบบนี้อีก ซึ่งเวลานั้นตนอาจจะไม่อยู่แล้วหากมี กสม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แทน ก็อยากฝาก กสม.ชุดใหม่ ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนด้วยว่า การตัดสินไม่ได้อยู่ที่ผลงานอย่างเดียว แต่เนื้อหาและกระบวนการต้องถูกต้องด้วย
3.การใส่คำว่า "เท่าทัน" ลงในวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการ สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของมาตรฐานโลก คำว่ามาตรฐานโลกนั้นหลักการทั่วไปเหมือนกัน แต่มาตรฐานนั้นขึ้นอยู่กับทรัพยากรรวมถึงบริบทของสังคมแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน หากใช้มาตรฐานโลกทุกอย่าง เช่น มาตรฐานสหรัฐอเมริกา มาตรฐานสวีเดน มาเทียบกับมาตรฐานไทย ตนคิดว่าไม่สามารถทำได้
"บริบทสังคมไทยกับบริบทของอเมริกาหรือสวีเดนไม่เหมือนกัน น้องๆ ต้องเข้าใจ ถ้าเข้าใจ เหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นแต่ละเรื่องเราจะมองกลับไปว่าอันนี้มันสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า เข้ากับประเทศไทยไหม ถ้าไม่เข้าน้องต้องคิด อันนี้ผมฝากครูอาจารย์ ฝากน้องๆ ด้วยปีหน้า ผมรู้สึกว่ากังวลเรื่องนี้นิดหนึ่ง อาจจะน้อยไป ไม่เห็นเท่าไร จริงๆ เราก็ดูน้อยเพราะเราไม่มีโอกาสไปนิเทศงานในพื้นที่ เราทำน่าจะผลงานที่นักเรียนส่งมา" นายสมณ์ กล่าว
นายสมณ์ ยังกล่าวอีกว่า อยากฝากทางสำนักงาน กสม. ช่วยให้ความสำคัญกับประเด็นการรู้เท่าทันไว้ด้วย เพราะหากไม่มีความเท่าทันก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยอ้างสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องต่อรองและทำให้เกิดปัญหา พร้อมกับย้ำว่า กสม.เป็นหน่วยงานที่เป็นกลาง เที่ยงตรง ตรงไปตรงมา ไม่อยากให้ใครมากล่าวหาว่า กสม.เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และ 4.ขอชื่นชมผู้ได้รับรางวัลที่มากันจากทั่วประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ในบ้านเมืองตลอดจนสภาพอากาศที่มีฝนตก และขอชื่นชมทางสำนักงาน กสม.ที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง ทั้งนี้ ตนหวังว่าในปีหน้าหาก กสม.จัดกิจกรรมเช่นนี้ขึ้นมาอีก หวังว่าสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็จะเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วย เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องใหญ่ เป็นมาตรฐานโลกที่จะเกี่ยวข้องกับประเทศไทยอีกมาก
ซึ่งก่อนหน้าที่ นายสมณ์ จะขึ้นเวทีกล่าวปิดงานดังกล่าว มีการจัดเสวนาเรื่อง "ทศวรรษใหม่ของเยาวชนผู้ใส่ใจและยืนเคียงข้างสิทธิมนุษยชน" โดย นายกิตติศักดิ์ สินธุโคตร อาจารย์วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาของเยาวชนทีมได้รับรางวัลชนะเลิศระดับอุดมศึกษา กล่าวว่า แม้ผู้เรียนระดับอุดมศึกษาจะมีความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนค่อนข้างละเอียด แต่กระบวนการศึกษาค้นคว้ายังอาจจะดูผิวเผิน
อาทิ การค้นคว้าจากหลายช่องทางทางอินเตอร์เน็ตแล้วขาดการกลั่นกรองในวิธีคิดที่ถูกต้องและถูกทาง ซึ่งจริงๆ แล้วการให้เด็กเข้ามาอยู่ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนอย่างถูกต้อง ก็ต้องมีการวางแผนและการศึกษาที่ถูกต้องด้วย โดยทีมงานนักศึกษาที่ตนดูแลอยู่นั้นด้านความคิดสร้างสรรค์มีอยู่แล้ว สิ่งที่ครูบาอาจารย์ต้องเติมเต็มคือเรื่องของวิชาการ ไม่ใช่ว่าผู้เรียนไม่มีในส่วนนี้ แต่ครูต้องหาพื้นที่ในการศึกษาค้นคว้าเพื่อวางแผน เด็กคิดมาแล้วว่าอยากนำเสนอแบบไหน เราก็ต้องนำวิชาการเข้าไปเกี่ยวข้อง
เช่นเดียวกับ นายกำพล ชุ่มจันทร์ อาจารย์โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาของเยาวชนทีมได้รับรางวัลชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษา ที่ยอมรับว่า ช่วงแรกๆ ที่เริ่มคิดส่งผลงานเข้าประกวด นักเรียนที่เป็นทีมงานยังไม่เข้าใจประเด็นสิทธิมนุษยชนอย่างถ่องแท้ แม้แต่ตนเองที่เป็นครูก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน จนท้ายที่สุดทำให้เข้าใจกันว่า คำว่าสิทธิกับคำว่าสิทธิมนุษยชนนั้นความหมายไม่เหมือนกัน แต่สิทธินั้นเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน ดังนั้นสิทธิมนุษยชนจึงไม่ใช่เฉพาะเรื่องของตัวเรา แต่เป็นเรื่องของคนทั้งหมด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี