เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมเพศวิถีศึกษา จัดงานเสวนา “ยุทธศาสตร์สุขภาวะ LGBTIQN+ ฉบับแรกของประเทศไทย” ณ รร.แมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ โดย ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหนึ่งในคณะผู้วิจัย “(ร่าง) ยุทธศาสตร์สุขภาวะ LGBTIQN+ พ.ศ.2564-2566” อธิบายว่า กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTIQN หมายถึงผู้ที่มีเพศกำเนิดกับเพศสภาพไม่ตรงกันตามวิธีคิดแบบการแบ่งเพศชาย-หญิง
แบ่งเป็น “L (Lesbian)” หรือหญิงรักหญิง “G (GAY)” หรือชายรักชาย “B (Bisexual)” หรือผู้ที่รักได้ทั้งชายและหญิง “T (Transgender)” หรือคนข้ามเพศ “I (Intersex)” หรือบุคคลที่มีเพศกำกวม “Q (Queer)” หรือบุคคลที่ปฏิเสธการนิยามตนเองด้วยอัตลักษณ์ทางเพศทุกรูปแบบ และ “N (Non-Binary)” หรือบุคคลที่ปฏิเสธการนิยามตนเองด้วยอัตลักษณ์ทางเพศตามวิธีคิดแบบการแบ่งเพศชาย-หญิง
ส่วนการใส่เครื่องหมายบวกไว้ด้านหลัง LGBTIQN หมายถึงบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศมีอัตลักษณ์ที่ไม่ตายตัว จึงต้องการทำให้นิยามในการศึกษาครั้งนี้เปิดกว้าง สามารถลื่นไหลต่อไปได้ในอนาคต สำหรับผลการศึกษานั้น คณะผู้วิจัยมีคำแนะนำถึง สสส. ในเรื่องที่ควรทำอย่างเร่งด่วน ได้แก่ 1.การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สสส. ควรเปลี่ยนฐานคิดของบุคลากรด้านสาธารณสุขในประเด็นสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้รับบริการที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศก่อน
รวมถึงสนับสนุนการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเกี่ยวเนื่องกับสุขภาวะของผู้มีความหลากหลายทางเพศ 2.การจัดทำฐานข้อมูลผู้มีความหลากหลายทางเพศในแต่ละกลุ่ม (LGBTIQN) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี ทำให้การเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาวะทำได้ลำบาก นอกจากนี้ยังพบว่า งานวิจัยที่เคยปรากฏในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2493-2559 เกี่ยวกับประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 417 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มชายรักชาย (เกย์) หรือไม่ก็กลุ่มหญิงข้ามเพศ (สาวประเภทสอง)
ขณะที่งานวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มหญิงรักหญิง (ทอม ดี้ เลสเบี้ยน) ยังมีจำนวนน้อย เช่นเดียวกับการรวบรวมงานวิจัยตั้งแต่ปี 2553-2563 พบว่ามีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ จำนวน 159 เรื่อง ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในภาพรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ถึงกระนั้นงานวิจัยที่เน้นเจาะจงเป็นรายกลุ่ม ก็ยังมีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มหญิงรักหญิง รวมถึงกลุ่มที่รักได้ทั้งชายและหญิงจำนวนน้อย ที่สำคัญคือยังไม่พบงานวิจัยที่ศึกษาประชากรกลุ่ม I Q และ N
ดังนั้นในช่วง 1 ปีแรก สสส. ควรสร้างองค์ความรู้ในส่วนที่ขาดหายไป และอีก 2 ปีหลัง สสส. ควรรวบรวมฐานข้อมูลความรู้ที่กระจัดกระจายให้เป็นแหล่งเดียวกัน เพื่อให้ง่ายในการเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้ 3.การสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้ สสส. ต้องพัฒนาระบบสุขภาพที่เป็นมิตรกับ LGBTIQN โดยคำนึงถึงลักษณะเฉพาะและอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนของคนกลุ่มนี้ด้วย ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุขสำหรับประชากรกลุ่มดังกล่าว
4.การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายและชุมชนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในปีแรก สสส. ควรสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือกับเครือข่ายเหล่านี้ก่อน ส่วนอีก 2 ปีหลังจึงให้เครือข่ายที่เข้มแข็งแล้วไปสร้างชุมชนที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศต่อไป และ 5.การพัฒนาศักยภาพเยาวชน เรื่องเร่งด่วนคือยังมีเยาวชนที่อยู่ในครอบครัวซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองใช้ความรุนแรงกับบุตรหลานที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ การจะพัฒนาศักยภาพของเยาวชน สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างครอบครัวที่ปลอดภัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี